วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความสุขที่แท้จริง



ทุกคนต้องการความสุข
หลายคนวิ่งไล่ไขว่คว้า หาความสุข
หลายคนเหนื่่อย(และทุกข์) เพราะ วิ่งไล่ไขว่คว้า เจ้าสิ่งที่เรียกว่า "ความสุข"

ยิ่งไล่ ความสุขก็ยิ่งห่างไกล

บางคนเข้าใจว่าความสุข คือ ความรัก
จึงวิ่งไล่ความรัก
ยิ่งวิ่งไล่หาความรัก ยิ่งเหนือย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางคนเข้าใจว่า ความสุข คือ ความร่ำรวย
จึงวิ่งไล่หาความร่ำรวย
ยิ่งวิ่งไล่หาความร่ำรวย ยิ่งเหนือย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางคนเข้าใจว่า ความสุข คือ ความสำเร็จ
จึงวิ่งไล่หาความสำเร็จ
ยิ่งวิ่งไล่หาความสำเร็จ กลับ ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางคนเข้าใจว่า ความสุข คือ ความสมบูรณ์แบบ
จึงวิ่งไล่หาความสมบูรณ์แบบ
ยิ่งวิ่งไล่หาความสมบูรณ์แบบ กลับ ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางคนเข้าใจว่า ความสุข คือ ความเป็นอิสระ
จึงวิ่งไล่หาความเป็นอิสระ
ยิ่งวิ่งไล่หาความเป็นอิสระ กลับ ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางคนเข้าใจว่า ความสุข คือ การเป็นที่ยอมรับ
จึงวิ่งไล่หาการเป็นที่ยอมรับ
ยิ่งวิ่งไล่หาความเป็นที่ยอมรับ กลับ ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทุกข์
และ เหมือนหาไม่เจอ...สักที

บางครั้งการยิ่งวิ่งไล่ หาสิ่งที่(เราเข้าใจ) ว่าเป็นความสุข
กลับหาความสุขไม่เจอสักที
หรือ บางครั้งได้มา สักพักก็จากไป
ทิ้งให้เศร้าโศกเสียใจ

ดังนั้นความสุขทีแท้อยู่ไหน

ลองอ่านคำสอนจาก หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปราโมทย์โช
ดังนี้ค่ะ

"เราเที่ยวหาความสุข
แต่เราไม่รู้จักว่าความสุขอยู่ที่ไหน
เราเอาความสุขของเราไปอิงอาศัยกับสิ่งอื่น
ไปอิงอาศัยกับคนอื่น
เช่น ไปอิงอาศัยกับเงิน
กับทรัพย์สมบัติ
คิดว่าถ้ามีมากๆ แล้วจะมีความสุข

มันไม่มีความสุขจริงหรอก
ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีภาระมาก
เพราะความสุขที่อิงอยู่กับคนอื่น
อิงอยู่กับสิ่งอื่น เราต้องไปช่วงชิงมา
เขาไม่ให้ก็เสียใจ สูญเสียไปก็เสียใจ

เราไม่รู้จักความสุขที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเอง

เป็นความสุขที่เกิดจากสติ สมาธิ ปัญญา

ถ้าเราสามารถพัฒนาความสุขภายใน
ที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อาศัยสิ่งอื่น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตก็มีความสุขอยู่ได้

แก่ก็แก่อย่างมีความสุข
เจ็บก็เจ็บอย่างมีความสุข
จะตายก็ตายอย่างมีความสุข

เรามีความสุขก็เพราะเรามีศีล
มีความสุขเพราะมีสมาธิ
มีความสุขเพราะมีปัญญา

ถ้าอยากได้ความสุข
ก็อย่าทอดทิ้งวิธีที่จะหาความสุขอย่างยอดเยี่ยมนี้"

จากคำสอนของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมทย์โช
จะเห็นว่า ความสุขทีแท้ คือ ความสุขที่เกิดจากภายในตัวเราเองค่ะ



บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

Gone girl (เกมส์ซ่อนหาย) บางทีชีวิตจริงก็เป็นอย่างนี้..

ได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่อง Gone girl ชื่อไทยว่า เกมส์ซ่อนหาย

ไม่ขอวิจารณ์ในแง่หนัง หรือ บทประพันธ์นะคะ

(ไม่ได้สปอยล์เนื้อหาตอนจบคร่า)

และ ได้มีโอกาสเข้าไปอ่านความคิดเห็นของคนในพันธุ์ทิพย์
ที่ถกเถียงกัน ในแง่ไม่เข้าใจการตัดสินใจของพระเอก

เพราะ อะไรถึงตัดสินใจอย่างนั้น ?
บลา บลา.....

แต่พอมาย้อนนึกถึงชีวิตจริง

บางทีชีวิตจริงก็เป็นอย่างนี้นะคะ

รู้ทุกอย่าง... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ -.-"

บางทีชีวิตจริงก็เหมือนตลกร้ายๆ เรื่องหนึ่ง
ที่ให้ความรู้สึกเจ็บๆแสบๆในใจ

แต่(เรา)ก็เลือกที่จะเป็นอย่างนั้น
ด้วยอะไรบางอย่าง.... ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า มันไม่เวอร์ค
^^"

ดังนั้น การเคารพการตัดสินใจของคนอื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ถึงแม้ว่าเรามองว่า มันไม่เวอร์ค เอาซะเลย ที่เลือกชีวิตแบบนี้
เพราะ บางทีเราก็ไม่รู้ว่า ลึกๆ มันมีอะไร ที่ทำให้เขาเลือกแบบนั้น

และ เพราะ บางทีถ้าเป็นเรา ถ้าเราต้องเข้าไปอยู่ตรงนั้น
ก็อาจเลือกไม่ต่างจากเขาเหมือนกัน  แม้รู้ว่า ไม่เข้าท่า ก็ตาม

#พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ได้เวลากลับบ้านใจ


เมื่อเหนื่อยล้า อย่าลืมกลับบ้านนะคะ

เมื่อเหนื่อยใจ อย่าลืมกลับบ้านใจค่ะ

การกลับบ้านใจ คือ

คือ การกลับมารับรู้ที่ใจ
รับรู้อะไรบ้าง
รับรู้ ความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง

วิธีการกลับบ้านใจดังนี้

กลับมารับรู้ว่า ขณะนี้คิดอะไร

กลับมารับรู้ว่า ขณะนี้รู้สึกอะไร

กลับมารับรู้ว่า ขณะนี้ คาดหวังอะไร ต้องการอะไร

การได้กลับบ้านใจบ่อยๆ

ทำให้หายเหนื่อย(ใจ)ได้บ่อยๆ

แม้ว่าอยู่กับคนเยอะๆ อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ

ก็สามารถพักใจได้ โดยการกลับมาบ้านใจก่อน นะคะ

บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

เครดิตภาพ : https://www.facebook.com/Mamuangjungdotcom/photos/a.685850991443291.1073741830.603313313030393/1012170548811332/?type=1&theater



วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

เพราะอะไร “การยิ่งเร่งรัดอยากได้คำตอบ กลับยิ่งไม่ได้คำตอบ" ?

เรื่องบางเรื่องยากที่จะตัดสินใจ

แต่การยิ่งรีบ เร่งรัด อยากได้คำตอบ
กลับยิ่งไม่ได้คำตอบ
แต่กลับกลายเป็นสับสนมากขึ้น -.-"


หลายคนคงเคยมีประสบการณ์เช่นนี้

และในทางกลับกัน
เมื่อปล่อยให้จิตใจเกิดความสงบ ผ่อนคลาย
หรือ คิดมากจนปวดหัวเลย เลิกคิดดีกว่า...
จู่ๆ คำตอบกลับออกมาเอง

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ประกอบจาก 2 ส่วนค่ะ
คือ 1) คุณภาพของจิตใจ
กับ 2) คุณภาพการทำงานของสมอง
เพราะ สมองกับจิตใจทำงานสัมพันธ์กัน
รายละเอียดดังข้างล่างนี้ค่ะ

1) ในแง่คุณภาพของจิตใจ

การยิ่งบีบคั้นเร่งรัดอยากได้คำตอบโดยเร็ว
ใจจะยิ่งวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ขาดสติ
มีแต่โทสะ
ความเข้าใจปัญหาที่แท้จริงหายไป
ความเชื่อมโยงกับโลกภายในของตัวเองหายไปจึงเข้าไม่ถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

สภาวะนี้ เป็นจิตใจที่ไร้คุณภาพ

โอกาสที่จะได้คำตอบยิ่งยากมากขึ้น
โอกาสที่จะตัดสินผิดพลาดยิ่งสูงขึ้น

การปล่อยให้ใจได้พบกับความสงบสักครู่หนึ่ง
......คำตอบจะออกมาเอง
อันเนื่องจาก เวลาทิ่จิตใจพบกับความสงบ มีสติ
จิตใจจะมีกำลังมากขึ้น
มีความมั่นคงมากขึ้น
มีความนุ่นนวล อ่อนโยน
การเชื่อมโยงกับโลกภายในของตัวเองจึงดีขึ้น
ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆจึงมากขึ้น

เป็นจิตใจที่มีคุณภาพที่ดี

ทำให้เห็นสิ่งต่างๆได้ชัดขึ้น
จึงเป็นจิตใจที่เกิดปัญญาได้ดีขึ้น

2) ในแง่คุณภาพสมอง

ในขณะที่เคร่งเครียด เร่งรัด
คลื่นการทำงานของสมอง จะมีความถี่สูง และ ขนาดของคลื่นสมองตัวเล็กลง

ที่เรียกว่า "คลื่นบีต้า (beta wave)"

ซึ่งมีความถี่ประมาณ 13-40 รอบต่อวินาที
เส้นกราฟในสมองขณะที่เคร่งเครียด จะมีลักษณะขยุก ขยิก ยุ่งเหยิง สับสน มาก

ซึ่งเป็นคลื่นที่ไม่เหมาะสมกับการเรียนรู้หรือเข้าใจสิ่งต่างๆ
ยิ่งความถี่ของคลื่นสมองสูงเท่าไร

จิตใจของเราจะยิ่งสับสน วุ่นวายมากขึ้น โอกาสที่จะตัดใจผิดพลาดยิ่งสูงมากขึ้น
เพราะการทำงานของสมองในขณะนี้คุณภาพไม่ดีนัก

แต่ในช่วงเวลาที่จิตใจเกิดความสบาย สงบ ผ่อนคลาย
คลื่นความถี่ของสมอง จะมีความถี่ลดลงกว่าช่วงตึงเครียด
และ มีขนาดคลื่นที่โตกว่า เป็นระเบียบมากกว่า
ความถี่ประมาณ 8-13 รอบต่อวินาที

คลื่นชนิดนี้เรียกว่า "คลื่น แอลฟ่า(Alpha Wave)"

เส้นกราฟในสมองขณะที่จิตใจสงบ เยือกเย็นขึ้น
จะมีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดคลื่นขนาดโตกว่า
คลื่นสมองมีความเป็นระเบียบมากกว่า
จึงเป็นคลื่นมีพลังงานมากกว่า

คลื่นสมองในช่วง แอลฟ่า นี้
จึงเหมาะกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดี เหมาะกับการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
เพราะเป็นช่วงที่สมองมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง

ดังนั้น การตั้งสติ ละวางความกดดันบีบคั้นตัวเองลง
ปล่อยให้ใจได้ กลับมาเชื่อมโยงใจกับร่างกาย หรือ จิตใจ อย่างสงบ ผ่อนคลาย

เป็นตัวช่วยที่สำคัญที่ทำให้จิตใจ และ สมองมีคุณภาพการทำงานที่ดีขึ้น

ความเข้าใจในปัญหาต่างๆดีขึ้น
นำไปสู่การตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ

ดังคำกล่าวของ อาจารย์เต่า อุกเว สอนฉีฟู่ ผู้เป็นศิษย์ในเรือง กังฟูแพนด้า
ดังนี้



“จิตใจคล้ายดั่งน้ำ เมื่อเกิดความวุ่นวาย มันยากที่จะมองเห็นสิ่งที่อ
ยู่ภายในได้ชัด
แต่ถ้าปล่อยให้นิ่งสงบลง คำตอบจะออกมาเอง”

“Your mind is like this water, my friend. When it is agitated, it becomes difficult to see. But if you allow it to settle, the answer becomes clear."
—Oogway to Shifu, Kung fu Panda
 

พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

เครดิตภาพ: 
http://www.daedtech.com/write-once-confuse-everywhere
http://kungfupanda.wikia.com/wiki/Moon_Pool#

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การอกหักไม่ใช่เรื่องแย่ เสมอไป

การอกหักไม่ใช่เรื่องแย่ เสมอไป
การอกหักก็มีข้อดีอยู่หลายข้อ

วันนี้ขอพูดข้อดีของการอกหัก 1 ข้อ

อาการอกหัก ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

เพราะรู้ว่าเป็นอย่างที่คนอื่นต้องการก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
เพราะแม้เราจะพยายาม
สุดท้ายเราก็ถูกทิ้ง ถูกปฏิเสธอยู่ดี
สุดท้ายเราก็ไม่มีคุณค่า(ในสายตาเขา)อยู่ดี
สุดท้ายเราก็อกหักอยู่ดี

ทำไปแล้วไม่มีประโยชน์อะไร

จึงกลับมาเป็นตัวของตัวเองดีกว่า

เพราะบางคน เมื่ออยู่ในสังเวียนความรัก ต้องการเอาชนะใจ ตัองการให้ได้มากซึ่ง "รัก"
ยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
บางคนยอมสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นการอกหัก จึงกลายเป็นเรื่องดี ที่ทำให้เรากลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

เพราะ อย่างน้อยแม้สุดท้ายเราไม่ได้อะไร ก็ได้เป็นตัวของตัวเอง ^ ^

และ ถ้าต้องมีรัก แต่ต้องเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเอง
จะใช่ความรักที่เราตามหาจริงหรือเปล่า
:)

บทความโดย แพทย์หญิง ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล




เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/Singleklekthemovie/photos/a.151822071541466.33322.104003099656697/819704291419904/?type=1&theater

ภาวะ "การปรับตัวผิดปกติ" คือ อะไร ? (Adjustment disorder)

เมื่อเจอภาวะกดดัน ผิดหวัง หรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
เป็นธรรมดาที่จะทำให้รู้สึก เครียด วิตกกังวล สับสน งุนงง หวั่นไหว เซ็ง เบื่อ เศร้า เสียใจ หงุดหงิด ได้เป็นธรรมดา
ซึ่งเรียกว่า "เป็นปฏิกิริยาการปรับตัวปกติ" ของจิตใจ
(Adjustment reaction/ normal reaction)

ในทางตรงข้ามถ้าเจอเรื่องแย่ๆ หนักๆ กดดัน
แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย อาจเป็นเรื่องแปลกมากกว่า

เพราะ อะไรจึงเป็นเช่นนั้น

เพราะ มนุษย์ปุถุชนปกติ เมื่อเจอเรื่องแย่ๆ เรื่องกดดัน
ย่อมรู้สึกหนักใจ ทุกข์ใจได้เป็นธรรมดา
อันเนื่องมาจาก เป็นกลไกป้องกันตัวของมนุษย์อย่างหนึ่ง คือ

จิตใจกำลังเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เพราะ เหตุการณ์เลวร้ายกำลังจะเกิดแล้ว
เหตุการณ์นี้ มันกำลังจะสั่นสะเทือนต่อ ความสุข ความสบาย ความมั่นคง ในชีวิตของเราแล้ว ><"
ความกลัว กังวล จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

เพราะ ความกลัว กังวล คือ สัญญาณเตือนภัยชั้นดี (คล้ายสัญญาณหวอเตือนภัย)

มันกำลังเตือนให้เราเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ได้แล้ว
มันกำลังบอกเราว่า
..ตื่นตัวเถิด อย่ามัวหลับไหล ลุ่มหลงต่อไปเลย ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายกว่านี้...
^^"

อันนี้คือ สิ่งที่จิตใจของเรา กำลังดูแลเรา กำลังส่งสัญญาณเตือนเราอยู่ ^___^

เพราะ ลองมองอีกด้าน คือ ในทางตรงข้าม
เมื่อเจอสถานการณ์ที่กำลังจะแย่
การชิล หรือ ใจเย็น มากไป อาจทำให้เราไม่เตรียมพร้อมกับอะไรเลย
ซึ่งอาจทำให้เราดูแล แก้ไข สถานการณ์ต่างๆได้ไม่ทัน
เหมือนรู้ตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว

ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์เลวร้ายข้างนอกมากระทบ
จิตใจที่อยากปกป้องดูแลตัวเรา จึงทำงานทันที
เกิดปฏิกิริยาที่ตื่นตัวขึ้นมากกว่าปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เมื่อสัญญาเตือนภัยทางใจ ทำงาน
ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ และ ทางกายได้ดังนี้
ทำให้เกิดความรู้สึก กลัว วิตกกังวล ตึงเครียด คิดมาก สับสน เศร้า หงุดหงิด
ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ใจสั่น นอนไม่หลับ ท้องผูก ท้องเสีย เป็นต้น

แต่เมื่อไหร่ละ ที่เราจะบอกว่าความเครียดอันนี้
ไม่ใช่ สัญญาณเตือนภัยปกติ (normal reaction) เสียแล้ว

แต่มันกำลังทำงานตื่นตัวมากเกินไป จนผิดปกติ
หรือ ที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะ "การปรับตัวผิดปกติ" (adjustment disorder)

ภาวะเหล่านี้ คือ สิ่งที่บอกว่า กำลังเกิด ภาวะ "การปรับตัวที่ผิดปกติ" ไปเสียแล้ว

1. เครียดมาก...จนบกพร่องชัดเจนในหน้าที่การงาน หรือ การเรียน
2. เครียดมาก...จนบกพร่องชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์
3. เครียดมาก...จนบกพร่องชัดเจนในการเข้าสังคม
4. เครียดมาก...จนส่งผลต่อการกิน การนอนผิดปกติ ไปหมด
5. เครียดมาก...จนวันๆ หมกมุ่น ครุ่นคิดต่อเรื่องนั้น จนไม่เป็นอันทำอะไรกันเลย
6. เครียดมาก...จนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ก้าวร้าว เกเร เป็นต้น
7. เครียดมาก...จนบกพร่องชัดเจนในการดูแลตัวเอง เช่น ไม่ใส่ใจตัวเอง หรือ มีความคิด/มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง หรือ อาจเลยเถิดไปเป็นการพยายามฆ่าตัวตาย เป็นต้น

เมื่อเรา เช็คสัญญาณเตือนภัย แล้ว พบว่า มันกำลังทำงานตื่นตัวผิดปกติไปเสียแล้ว

**เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างไรบ้าง

1. หาสาเหตุของความเครียด

เพราะ บางคนเครียดมากจนสับสน จับต้น ชนปลายไม่ถูก
ว่าเราเครียดจากเรื่องอะไรกันแน่ ??!!!

ดังนั้นใจเย็นๆ ตั้งสติ
หายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ แล้วค่อยมองปัญหาทีละส่วน

เมื่อจะแก้ปม ที่พันเป็นก้อนกลม
ต้องค่อยๆดู ค่อยแก้ออกทีละปม
(ดังรูป น้องมะม่วงกับน้องหมาที่แนบมาค่ะ ^ ^)

ยิ่งใจร้อน จะยิ่งแก้ไม่ออก เพราะ มองไม่เห็นสาเหตุที่แท้จริง
และ จะยิ่งทำให้ท้อใจไปโดยใช่เหตุ เพราะไปเข้าใจผิดว่าแก้ไม่ได้
ที่จริงอาจเป็นเพราะ เราใจร้อนอยากรีบแก้เกินไปต่างหาก

2. ทำความเข้าใจปัญหานั้น

เมื่อเห็นสาเหตุชัดเจนแล้ว ทำความเข้าใจกับปัญหา
จะช่วยให้แก้ไขได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. ถ้าปัญหาทำให้หนักอกหนักใจมาก จนแน่นอกไปหมด

อาจหาใครสักคนที่เรารัก เช่น เพื่อน หรือ คนในครอบครัว รับฟัง
เพราะการได้ระบาย ปัญหา หนักอกหนักใจออกไปบ้าง
จะช่วยลดความกดดัน
ความแน่น ความหนักในใจ จะลดลงไปได้อย่างมาก

หลายคนเมื่อได้ระบายออกไปแล้ว จิตใจรู้สึกโล่งโปร่งสบายมากขึ้น
ช่วยทำให้เห็นทางออกของปัญหาได้ดีขึ้น

4. ไตร่ตรองดูปัญหาที่เกิดขึ้น ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง โดยมีแนวทางดังนี้

- เขียนปัญหาทั้งหมดลงในกระดาษ
การเขียนจะช่วยให้เห็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น
เป็นระบบมากขึ้น กว่าการคิดวนๆ อยู่ในหัว
การคิดวนๆอยู่ในหัว ยิ่งคิด จะยิ่งเพิ่มความยุ่งเหยิงยุ่งยิ่งของปัญหามากขึ้นไปอีก
เพราะความวน และ ความคิดที่สะเปะสะปะไร้ระบบ

-ไตร่ตรองดูว่า ปัญหาไหนแก้ไขได้
ก็ให้หาทางออกให้เต็มที่ เขียนทุกทางออกให้มากที่สุด

- ส่วน ปัญหาไหนที่แก้ไขไม่ได้แล้วจริงๆ
การฝึก "ยอมรับ" มัน อย่างที่เป็น
เป็นหนทางที่ดีที่สุด
เพราะ การยอมรับ ช่วยให้ใจสงบขึ้นกว่า การไม่ยอมรับ

ใจที่สงบขึ้น จะเป็น
ใจที่มีคุณภาพที่ดี มีประสิทธิภาพสูง ที่จะช่วยหาทางออกของปัญหาต่างๆได้มากยิ่งขึ้น

**การดูแลจากคนใกล้ชิด

1. รับฟัง อย่างเข้าใจ

2. ให้คำแนะนำที่เหมาะสม
คำแนะนำที่เหมาะสมมาจากไหน?
คำแนะนำที่เหมาะสมย่อม มาจากความเข้าใจในตัวเขาและปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้น
ไม่ควรรีบแนะนำ ถ้ายังไม่เข้าใจในตัวเขาและปัญหา เพราะ จะยิ่งทำให้รู้สึกแย่ มากกว่าจะรู้สึกดี

3. ให้กำลังใจ ชี้ให้เขาเห็นศักยภาพในตัวเขา
เพื่อให้เขาเกิดความเชื่อมั่นตนเองมากขึ้น ว่าสามารถเผชิญต่อปัญหานั้นได้

แต่ถ้าความรู้สึกเครียดนี้มีมากจนรับมือไม่ไหว การพบจิตแพทย์ เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยได้นะคะ

บทความโดย แพทย์หญิง ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล






เครดิตภาพ : https://www.facebook.com/Mamuangjungdotcom/photos/pb.603313313030393.-2207520000.1414850104./937146156313772/?type=3&theater

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

โชคดี ที่โดนหลอก

การโดนหลอก ไม่ใช่สถานการณ์ที่มีใครอยากเจอ

เพราะ ไม่ใช่แค่ผิดหวังธรรมดา แต่มันดูโง่ด้วย
ซึ่งทำให้เจ็บ 2 ชั้น

ชั้นแรก ผิดหวัง
ชั้นสอง เสีย เซลฟ์ ว่าเรา โง่มาก หรือเปล่า

บางคน อาจเสียใจ 3 ชั้น  ถ้าเป็นในเรื่องความรัก คือ
 รู้สึกไร้ค่าอย่างแรง เหมือนตัวเองไม่มึ คุณค่าใดๆ มากพอ
ที่จะทำให้คนสำนึกได้ว่า  ไม่ควรมาหลอกเรานะ

แต่นั่นเป็นแค่มุมมองของคนๆหนึ่งเท่านั้น
เช่น ตัวเราเองที่มองตัวเองแบบนี้ เมื่อโดนหลอก
หรือ อย่างมาก ก็แค่ คนนั้นที่หลอกเรา

แต่ถ้ามองให้ดี
คนที่โดนหลอก
มักเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และ ขี้สงสาร
ดังนั้น ส่วนหนึ่ง คนที่โดนหลอก มีจิตใจที่งดงามอ่อนโยน
เราจึงเชื่อ รวมถึงอยากช่่วยคนที่มาหลอก

เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่ หรือ ฉลาดอะไร
บางทีเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิต

ส่วนคนที่หลอกคนอื่น ก็ไม่ได้ฉลาดกว่า
เพียงแต่ เขา นึกถึงตัวเองมากกว่านึกถึงคนอื่น
สนใจแต่ประโยชน์ตัวเองมากกว่า ประโยชน์ของคนอื่น ก็แค่นั้น

และ การที่โดนหลอกก็ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นอย่างแน่นอน
ทำให้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น

เพราะ การโลกสวยเกินไป อาจอยู่บนโลกใบนี้ได้ลำบากเหมือนกัน
เพราะ คนบนโลกใบนี้ มีหลายแบบ ที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อ มาอยู่กับโลกใบสวยที่เราสร้างขึ้นมาในจินตนาการ

การโดนหลอก ทำให้เรา ได้ออกจากโลกจินตนาการ มาสู่โลกความจริง
เพราะ การอยู่ในโลกจินตนาการเกินไป แม้สวย แต่ทำให้เรา อ่อนแอ
เพราะ มันกลายเป็นคนที่ติดกับเรื่องเพ้อฝัน

การโดนหลอก ทำให้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น
ทำให้เราโตขึ้น
เข้มแข็งขึ้น

และ เป็นคนที่่สมบูรณ์มากขึ้น ไม่ได้เป็นคนช่างฝัน ไปวันๆ

บทความโดย พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล




เครดิตภาพ : https://www.facebook.com/Singleklekthemovie/photos/a.151822071541466.33322.104003099656697/781570875233246/?type=1&theater

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความสุขหายไปไหน






เป็นคำถามที่หลายคน วนถามกับตัวเอง และหลายคนไม่ได้คำตอบ

หลายคนรู้สึกว่าชีวิตตนเองมีทุกอย่างที่น่าจะมีความสุข แต่กลับยังไม่ค่อยมีความสุข
มันน่าจะมีอะไรสักที่ที่ผิดอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ไหน

สาเหตุหนึ่งที่ความสุขหายไปคือ
ความโลภ....
เหมือนที่เราเคยได้ยินคำโบราณว่า โลภมาก ลาภหาย
ในเรื่องความสุขก็เช่นกัน
โลภมาก ลาภ(ความสุข) ก็หายไป เช่นกัน
เราอยากได้อะไรมากๆ เช่น เราอยากได้ความถูกต้อง ความสมบูรณ์แบบมาก เราก็รู้สึกว่าไม่เคยได้ หรือ ที่ได้มาก็ยังไม่ เติมเต็มสักที ก็เลยทุกข์อยู่กับเรื่องนี้ซ้ำๆ
บางคนต้องการความรักมากๆ ก็จะทุกข์เพราะเรื่องความรัก
บางคนต้องการความสำเร็จมากๆ ก็จะทุกข์เพราะเรื่องความสำเร็จ
บางคนต้องการชีวิตที่เป็นส่วนตัวมากๆ ก็จะทุกข์เพราะ เรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่ได้อย่างที่อยากได้สักที
บางคนต้องการความมั่นคงมากๆ ก็ทุกข์เพราะ ไม่รู้สึกมั่นคงสักที
บางคนต้องการอิสระมาก จะทุกข์เพราะ อิสะที่ได้มา ยังไม่มากพออย่างที่ต้องการสักที
บางคนต้องการอำนาจ ควบคุมสิ่งต่างๆมาก จะทุกข์ เพราะรู้สึกยังไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆอย่างใจต้องการสักที
บางคนต้องการความสงบสุขมากๆ จะทุกข์เพราะ รู้สึกสิ่งต่างๆ ยังไม่สงบสุขอย่างที่ใจตนเองต้องการสักที

จะเห็นได้ว่า เราต้องการสิ่งไหนมาก เราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก
ที่ได้มาก็เหมือนไม่ได้ ก็เหมือนไม่มี
ที่สุดแล้วเราทุกข์ เพราะความอยากได้ปริมาณมากของเราเองต่างหาก

ยิ่งไขว่คว้า ก็เหมือนยิ่งห่าง...

เพราะ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ได้อยากได้อะไรมากๆขนาดนั้น จะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่มีผลกับจิตใจเราเท่าไหร่
ยิ่งอยากได้มาก ก็ยิ่งหวั่นไหวมาก
โอกาสทุกข์เพราะสิ่งนั้น

ดังนั้นความสุขหายไปไหน
ความสุขจริงๆไมได้หายไป
แต่ที่ดูเหมือนหายไป เพราะ ความโลภ(กับบางสิ่ง)มากเกินไปต่างหาก
 ดังนั้น  เราลองฝึกลดความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆลง และ ยอมรับสิ่งต่างๆอย่างที่เป็นมากขึ้น
บางทีความสุขที่หายไป จะกลับมากได้ อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียวค่ะ


บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล


แคร์คนอื่นมากทำให้เกิดผลเสียอะไร ?

มนุษย์เรามีหลายลักษณะ
บางคนก็แคร์คนอื่นน้อยเกินไป
ขณะที่บางคนก็แคร์คนอื่นมากเกินไป

การแคร์คนอื่่นน้อยเกินไป ก็มีผลเสียได้เหมือนกัน เช่น หลายคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรัก ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้ทุกข์มากเช่นกัน เพราะ ทำให้รู้สึกเหงา และ โดดเดี่ยว

ขณะที่บางคนแคร์คนอื่นมากเกินไป ก็มีผลเสียไปอีกแบบเช่นกัน

ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง

ใส่ใจสิ่งที่สังคมเรียกร้อง มากกว่า สิ่งที่ใจต้วเองเรียกร้อง

จนเป็นทุกข์ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการ

ลึกๆหลายคนรู้สึกเศร้าอยู่ภายใน

ไปเรื่อย ชีวิตกลับไร้แรงจูงใจ เหมือนมีชีวิตไปวันๆ

ขาดความกระตือรือร้น

เพราะ ไม่ได้ใช้ชี่วิตอย่างที่ตนเองต้องการเลย
แต่ทำตามความคาดหวังของคนอื่นตลอด

จนกระทั่งบางคน ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

ถึงตอนนั้นยิ่งเกิดความรู้สึกว่างเปล่า และ สับสนในตัวเองมากขึ้นไปอีก

บางทีที่เราทำตามคนอื่นเรียกร้อย เป็นเพราะ เรากลัวเขาไม่รักเรา ไม่ยอมรับเรา
เราเลยยอมทุกอย่าง เพื่อให้ที่รัก ที่ยอมรับของคนอื่น

สุดท้ายก็กลายเป็นทาสความคิด ทาสความคาดหวังของคนอื่น

และ ที่เจ็บปวดมากที่่สุดคือ หลายครั้งเรายอมตามความคาดหวังของคนอื่น แต่สุดท้าย คนอื่นๆ เหล่านั้น อาจไม่ได้เห็นคุณค่าเรา และ รัก และ ยอมรับ เรา อย่างที่เราคาดหวัง
ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเป็น 2 ชั้น

ชั้นแรก จากการใช้ช่ีวิตตามใจคนอื่น จนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นสอง จากการที่ตนเองกลับไม่ได้ในสิ่งที่ใจต้องการ คือ ความรัก การยอมรับ

หลายคนกลายเป็นคนผิดหวังซ้ำๆ เจ็บปวดซ้ำ และ อาจโกรธเคืองคนอื่นที่ทำกับเราแบบนี้

โดยลืมไปว่า ส่วนหนึ้่ง เป็นเพราะเราเอง ก็อนุญาตให้คนอื่นมาทำกับเราแบบนี้เองด้วย
อนุญาตให้คนอื่นมาเป็นนายเหนือเรา

ดังนั้น ในคนที่แคร์คนอื่นมาก ต้องการความรัก และ การยอมรับจากคนอื่นมาก ลองฝึกที่จะเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น
ฝึกจะยอมรับตัวเอง อย่างที่เป็น

เพราะบางที การเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น เราอาจไม่ได้สูญเสียความรักและการยอมรับจากคนอื่นเลย
แต่เรากลับได้ การยอมรับ และ การนับถือจากตัวเองมากขึ้น

บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล






เครดิตภาพ : http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=41036.0

มีชีวิต เพื่อคนอื่น หรือ มี ชีวิตเพื่อตัวเอง อะไรดีกว่า ?

มันเป็นเรื่องของสมดุลชีวิต

การแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป อาจทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง

หลายคนทำตามสิ่งที่คนอื่นเรียกร้อง จน ไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองว่ากำลัง เรียกร้อง ต้องการอะไรอยู่

ทำแรกๆ อาจรู้สึกดี เป็นที่ยอมรับ ของทุกคน ทุกคนรักเรา ชอบเรา

แต่พอทำๆไป ถึงจุดหนึ่ง ตัวเราจะไม่มีความสุข



เพราะ สิ่งที่ทำไม่ได้มาจากเจตจำนงค์เราเอง แต่มาจากความคาดหวังของคนอื่น
สุดท้าย จะรู้สึกว่างเปล่า หาตัวเองไม่เจอ หลายคนตอบไม่ได้ว่าจริงๆเราต้องการอะไรกันแน่

แต่การคิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่ฟังเสียงคนอื่นเลยก็อาจไม่ใช่คำตอบเช่นกัน

แม้บางคนจะมั่นมาก ไม่แคร์ใคร

แต่ลึกๆ เมื่อถามต้วเองจริงๆ ก็ไม่ใคร่มีความสุขมากนัก
ที่่ทุกคนไม่ชอบ ไม่ยอมรับตัวเราเลย

สุดท่ายก็รู้สึกว้าเหว่า เหมือนไม่มีใคร
เพราะ มนุษย์ลึกๆ ต้องการการเชื่อมโยงกับคนอื่น แม้จะเป็นคนที่มั่นใจมากๆๆๆก็ตาม

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการจัดสมดุลของชีวิต

ทุกครั้งเวลาตื่นนอน ลองถามต้วเองว่า วันนี้เราเป็นใคร เราต้องการอะไร
อย่างน้อยการกลับมารับรู้ ความรู้สึก ความต้องการของตัวเอง

เป็นประตูแรกที่นำไปสู่การใช้ชีวิตที่สมดุลขึ้น
สำหรับคนที่มักแคร์ความคาดหวังของคนอื่นมากไป

ส่วนคนที่คิดถึงแต่ความต้องการของตัวเอง
ในแต่ละวัน ลองฝึกใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นให้มากขึ้น
คุณจะได้ใชัชีวิตได้อย่างสมดุลมากขึ้น

ความรู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยว แปลกแยกจากคนอื่น จะลดลง




การจัดสมดุลของชีวิตก็เหมือนการขี่จักรยาน

คุณไม่สามารถเอียงน้ำหนักไปข่้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป

แต่การจัดน้ำหนักให้ สองข้าง เท่ากัน จึงจะทำให้คุณสามารถขี่จักรยานไปข้างหน้าได้
อย่างดีและมีความสุข

ชีวิตก็เหมือนกัน การจัดสมดุลชีวิตของตัวเองให้ดี ให้ความสำคัญกับตัวเอง และ ของคนอื่น อย่างสมดุล

จะทำให้ชีวิตคุณก้าวไปข้างหน้าได้
ได้อย่างดี และ มีความสุขมากขึ้น



บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล




เครดิตภาพ : http://allegralaboratory.net/going-native-at-home/




วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ความงาม"

"ความงาม" บางทีต้อง ใช้เวลา กว่าจะเผยตัวออกมานะ

"วัชพืช" ที่อยู่หน้าบ้านตอนอยู่ Toronto
ที่ขึ้นมาเกะกะต้นสาระแหน่
ต้นที่ไม่สวยเลย ตลอดฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


แต่ที่แท้เป็น"ทิวลิป" ที่สวยงาม.... ^___^

"วัชพืช" ได้เปิดเผย "ความงาม" ตอนหน้า Spring
(เกือบถอนไปแล้วไหมล่ะ 55...)


"ความงาม" บางทีต้องใช้เวลา กว่าจะเผยตัวออกมานะ

เพราะ ความงามบางอย่าง เป็นเงื่อนไขของเวลา....
ใจร้อนไม่ได้ 555


และ ด้วยอนิจจัง...... ทำให้ได้ชื่นชมความงาม


บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

 


เครดิตภาพ :  http://sainahkamanatai.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แก้ไขความคิดที่ไม่ดี ด้วยความคิดดีๆ ได้หรือไม่ ?

แก้ไขความคิดที่ไม่ดี ด้วยความคิดดีๆ ได้หรือไม่ ?

แก้ ลบ ด้วย บวก อาจได้บ้างในบางกรณี

แต่ที่ใช้ได้ทุกกรณี คือ รู้ทันความคิดลบ

 

แล้วปล่อยวางความคิด(ยึด)ลบนั้น
ทำบ่อยๆ รู้ทัน(ลบ)บ่อยๆ
ความเป็นกลางเกิดขึ้น
ใจก็เบาสบายขึ้น
การมองโลกก็เปลี่ยนไปเองค่ะ
เปลี่ยนแบบธรรมชาติ
โดยไม่ต้องพยายามแก้ไขความคิดอะไรค่ะ

สำคัญคือการฝึก"รู้ทัน"ความคิดด้านลบให้เห็นว่ามันมาอีกแล้ว
เห็นให้บ่อยๆ จะเกิดความเป็นกลางได้บ่อยขึ้นๆค่ะ

การเติมบวกโดยไม่ละลบจะเติมได้ไม่จริงเพราะจิตยังกุมลบไว้มั่น
สิ่งบวกก็เข้าไม่ได้ค่ะ

เหมือนน้ำเน่ายังอยู่เต็มแก้ว
ถ้าเราไม่รู้ว่ามีน้ำเน่าอยู่
แต่จะใส่เทน้ำดีเข้าไป น้ำดีก็เข้าไปไม่ได้ค่ะ เพราะแก้วยังเต็มอยู่ค่ะ


ดังนั้นจำเป็นต้องหมั่นเทน้ำเน่าออกไปบ้าง เพื่อให้แก้ว(จิต)มีพื้นที่รับน้ำดีค่ะ ^__^



บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

เครดิตภาพ : http://pantip.com/topic/30812529

แก้ไข "ความคิดที่ไม่ดี" ด้วย "ความรู้สึกที่ดี" ได้หรือไม่ และ อย่างไร?

แก้ไข "ความคิดที่ไม่ดี" ด้วย "ความรู้สึกที่ดี" ได้ หรือไม่ และ  อย่างไร?

ได้ค่ะ....ด้วยการส่งความปรารถนาดีให้ค่ะ


เช่น ถ้ามักคิดกับตัวเองไม่ดี มักตำหนิก่นด่าตัวเองบ่อยๆ

 

ก็ลองส่งรู้สึกดีๆส่งความปรารถนาดีให้ตัวเองบ่อยๆ
 

จิตใจก็จะเริ่มรู้สึกดี มีกำลัง
 

ความคิดแย่ๆกับตัวเองก็ลดลง
 

จากความรัก ความปรารถนาดี ความเมตตา ที่หมั่นให้กับตัวเอง
 

ก่อให้เกิดกำลังใจด้านดีๆ
 

ทำให้ใจมีพลัง ^ ^

การมองตัวเองและมองโลกก็ดีขึ้นค่ะ :)) 









บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล


เครดิตภาพ :  https://www.facebook.com/Mamuangjungdotcom/photos/pb.603313313030393.-2207520000.1408793397./673139812714409/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

# พลังของความปรารถนาดี ^ ^



พลังของความปรารถนาดี....แม้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา
แต่หลายครั้งสามารถสัมผัสได้ด้วยใจ ^_____^

และอาจให้อะไรมากกว่าที่เราเข้าใจ

ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องไอซียูเรื่องนี้ค่ะ
(นำมาจากเรื่องจริง โดย พระไพศาล วิลาโล ค่ะ)

...ชายหนุ่มคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บทางสมอง และ ไตวายเฉียบพลัน
ต้องฟอกเลือด อยู่ในภาวะโคม่า
หมอบอกว่ามีโอกาสรอดน้อยมาก

ระหว่างที่นอนหมดสติอยู่ในห้องไอซียูนานเป็นอาทิตย์

เขาเล่าว่ารู้สึกเหมือนลอยเคว้งคว้าง...
แต่บางช่วงจะรู้สึกว่า มีมือมาแตะที่ตัวเขาพร้อมกับมีพลังดีๆส่งเข้ามา

ทำให้ใจที่เคว้งคว้างเหมือนจะขาดหลุดไปนั้น
กลับมารวมตัวกัน
เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา

สักพักความรู้สึกตัวนั้นก็เลือนรางไปอีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน...

เขามารู้ภายหลังว่า มีพยาบาลคนหนึ่งทุกเช้าที่ขึ้นเวร
จะเดินเยี่ยม ทักทายให้กำลังใจ คนไข้ทุกคน

แต่ถ้าคนไข้ยังโคม่าอยู่ เธอก็จะจับมือส่งความรู้สึกดีๆและให้กำลังใจ
"ขอให้มีกำลังและรู้สึกตัว"

พอถึงเวลาลงเวรตอนบ่าย ก็บอกคนไข้ว่า ดิฉันจะลงเวร
"ขอให้คุณสบายทั้งคืน พรุ่งนี้พบกันใหม่"

กำลังใจและความเมตตานั้นมีพลังที่แม้แต่คนไข้ซึ่งหมดสติไปแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้

เรื่องนี้เป็นข้อคิดแก่หมอ พยาบาล และ ญาติ ว่าคนไข้โคม่านั้น
เขาโคม่าแต่กาย
ส่วนจิตใจยังสามารถรับรู้ได้ แม้จะรางๆ...

คำพูดและสภาวะจิตใจของหมอ พยาบาล และ ญาติ ไม่ว่า
ทางบวกหรือลบ
สามารถมีอิทธิพลต่อผู้ป่วยได้

ถ้าพูดหรือคิดในทางร้าย อาการของผู้ป่วย ก็อาจจะทรุดลงได้
แม้จะให้ยาเต็มที่แล้วก็ตาม...

ดังนั้นพลังดีๆ มีผลต่อจิตใจได้อย่างมากนะคะ

แม้จะมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจค่ะ

ตัวเราเองเมื่อส่งความปรารถนาดีกับคนรอบข้าง
สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นพลังดีๆย้อนกลับมาหาเราด้วยเช่นกันค่ะ

เพราะใจเราก็อ่อนโยนขึ้น มีพลังดีๆไปด้วยค่ะ

#พลังของความปรารถนาดีกับตัวเอง ^__^

ไม่เพียงแต่คนป่วย หรือ คนอื่นๆ ที่เราจะส่งพลังดีๆ พลังแห่งความเมตตาให้เขานะคะ

แม้กับตัวเราเอง
ถ้าเราลองส่งพลังดีๆ พลังแห่งความปรารถนาดี ให้ตัวเองบ้าง ในแต่ละวัน ^__^

พลังดีๆและกำลังใจเหล่านี้
จะช่วย "เยียวยาใจ" เรา ให้สดชื่น มีกำลัง เกิดความแข็งแรงขึ้นในจิตใจได้ค่ะ

เมื่อจิตใจเรามีกำลัง แข็งแรงขึ้น
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคข้างนอกสักเพียงใด เราก็สามารถฟันฝ่าไปได้ค่ะ ^__^

ในทางตรงข้ามถ้าเราหมั่นว่าตัวเอง ตำหนิตัวเอง
จิตใจเราก็ห่อเหี่ยว เรื่องเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
เพราะใจเราหมดแรงที่จะต่อสู้อ่ะนะคะ

ดังนั้น
.....วันนี้ อย่าลืมส่งความปรารถนาดีให้กับ ตัวเอง และ คนรอบข้าง นะคะ...

ด้วยความปรารถนาดีจาก
พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล ค่า ^___^





 http://otrazhenie.files.wordpress.com/2013/06/help.jpg



เครดิต เรื่องเล่าในไอซียู : จากหนังสือ ธรรมะสำหรับผู้ป่วย โดย พระไพศาล วิสาโล
http://www.kallayanatham.com/book/book_180.pdf
เครดิตภาพ : http://otrazhenie.wordpress.com/2013/06/16/we-cant-help-everyone-but-everyone-can-help-someone/