วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความสุขหายไปไหน






เป็นคำถามที่หลายคน วนถามกับตัวเอง และหลายคนไม่ได้คำตอบ

หลายคนรู้สึกว่าชีวิตตนเองมีทุกอย่างที่น่าจะมีความสุข แต่กลับยังไม่ค่อยมีความสุข
มันน่าจะมีอะไรสักที่ที่ผิดอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ไหน

สาเหตุหนึ่งที่ความสุขหายไปคือ
ความโลภ....
เหมือนที่เราเคยได้ยินคำโบราณว่า โลภมาก ลาภหาย
ในเรื่องความสุขก็เช่นกัน
โลภมาก ลาภ(ความสุข) ก็หายไป เช่นกัน
เราอยากได้อะไรมากๆ เช่น เราอยากได้ความถูกต้อง ความสมบูรณ์แบบมาก เราก็รู้สึกว่าไม่เคยได้ หรือ ที่ได้มาก็ยังไม่ เติมเต็มสักที ก็เลยทุกข์อยู่กับเรื่องนี้ซ้ำๆ
บางคนต้องการความรักมากๆ ก็จะทุกข์เพราะเรื่องความรัก
บางคนต้องการความสำเร็จมากๆ ก็จะทุกข์เพราะเรื่องความสำเร็จ
บางคนต้องการชีวิตที่เป็นส่วนตัวมากๆ ก็จะทุกข์เพราะ เรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่ได้อย่างที่อยากได้สักที
บางคนต้องการความมั่นคงมากๆ ก็ทุกข์เพราะ ไม่รู้สึกมั่นคงสักที
บางคนต้องการอิสระมาก จะทุกข์เพราะ อิสะที่ได้มา ยังไม่มากพออย่างที่ต้องการสักที
บางคนต้องการอำนาจ ควบคุมสิ่งต่างๆมาก จะทุกข์ เพราะรู้สึกยังไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆอย่างใจต้องการสักที
บางคนต้องการความสงบสุขมากๆ จะทุกข์เพราะ รู้สึกสิ่งต่างๆ ยังไม่สงบสุขอย่างที่ใจตนเองต้องการสักที

จะเห็นได้ว่า เราต้องการสิ่งไหนมาก เราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก
ที่ได้มาก็เหมือนไม่ได้ ก็เหมือนไม่มี
ที่สุดแล้วเราทุกข์ เพราะความอยากได้ปริมาณมากของเราเองต่างหาก

ยิ่งไขว่คว้า ก็เหมือนยิ่งห่าง...

เพราะ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ได้อยากได้อะไรมากๆขนาดนั้น จะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่มีผลกับจิตใจเราเท่าไหร่
ยิ่งอยากได้มาก ก็ยิ่งหวั่นไหวมาก
โอกาสทุกข์เพราะสิ่งนั้น

ดังนั้นความสุขหายไปไหน
ความสุขจริงๆไมได้หายไป
แต่ที่ดูเหมือนหายไป เพราะ ความโลภ(กับบางสิ่ง)มากเกินไปต่างหาก
 ดังนั้น  เราลองฝึกลดความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆลง และ ยอมรับสิ่งต่างๆอย่างที่เป็นมากขึ้น
บางทีความสุขที่หายไป จะกลับมากได้ อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียวค่ะ


บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล


แคร์คนอื่นมากทำให้เกิดผลเสียอะไร ?

มนุษย์เรามีหลายลักษณะ
บางคนก็แคร์คนอื่นน้อยเกินไป
ขณะที่บางคนก็แคร์คนอื่นมากเกินไป

การแคร์คนอื่่นน้อยเกินไป ก็มีผลเสียได้เหมือนกัน เช่น หลายคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรัก ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้ทุกข์มากเช่นกัน เพราะ ทำให้รู้สึกเหงา และ โดดเดี่ยว

ขณะที่บางคนแคร์คนอื่นมากเกินไป ก็มีผลเสียไปอีกแบบเช่นกัน

ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง

ใส่ใจสิ่งที่สังคมเรียกร้อง มากกว่า สิ่งที่ใจต้วเองเรียกร้อง

จนเป็นทุกข์ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการ

ลึกๆหลายคนรู้สึกเศร้าอยู่ภายใน

ไปเรื่อย ชีวิตกลับไร้แรงจูงใจ เหมือนมีชีวิตไปวันๆ

ขาดความกระตือรือร้น

เพราะ ไม่ได้ใช้ชี่วิตอย่างที่ตนเองต้องการเลย
แต่ทำตามความคาดหวังของคนอื่นตลอด

จนกระทั่งบางคน ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

ถึงตอนนั้นยิ่งเกิดความรู้สึกว่างเปล่า และ สับสนในตัวเองมากขึ้นไปอีก

บางทีที่เราทำตามคนอื่นเรียกร้อย เป็นเพราะ เรากลัวเขาไม่รักเรา ไม่ยอมรับเรา
เราเลยยอมทุกอย่าง เพื่อให้ที่รัก ที่ยอมรับของคนอื่น

สุดท้ายก็กลายเป็นทาสความคิด ทาสความคาดหวังของคนอื่น

และ ที่เจ็บปวดมากที่่สุดคือ หลายครั้งเรายอมตามความคาดหวังของคนอื่น แต่สุดท้าย คนอื่นๆ เหล่านั้น อาจไม่ได้เห็นคุณค่าเรา และ รัก และ ยอมรับ เรา อย่างที่เราคาดหวัง
ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเป็น 2 ชั้น

ชั้นแรก จากการใช้ช่ีวิตตามใจคนอื่น จนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นสอง จากการที่ตนเองกลับไม่ได้ในสิ่งที่ใจต้องการ คือ ความรัก การยอมรับ

หลายคนกลายเป็นคนผิดหวังซ้ำๆ เจ็บปวดซ้ำ และ อาจโกรธเคืองคนอื่นที่ทำกับเราแบบนี้

โดยลืมไปว่า ส่วนหนึ้่ง เป็นเพราะเราเอง ก็อนุญาตให้คนอื่นมาทำกับเราแบบนี้เองด้วย
อนุญาตให้คนอื่นมาเป็นนายเหนือเรา

ดังนั้น ในคนที่แคร์คนอื่นมาก ต้องการความรัก และ การยอมรับจากคนอื่นมาก ลองฝึกที่จะเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น
ฝึกจะยอมรับตัวเอง อย่างที่เป็น

เพราะบางที การเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น เราอาจไม่ได้สูญเสียความรักและการยอมรับจากคนอื่นเลย
แต่เรากลับได้ การยอมรับ และ การนับถือจากตัวเองมากขึ้น

บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล






เครดิตภาพ : http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=41036.0

มีชีวิต เพื่อคนอื่น หรือ มี ชีวิตเพื่อตัวเอง อะไรดีกว่า ?

มันเป็นเรื่องของสมดุลชีวิต

การแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป อาจทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง

หลายคนทำตามสิ่งที่คนอื่นเรียกร้อง จน ไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองว่ากำลัง เรียกร้อง ต้องการอะไรอยู่

ทำแรกๆ อาจรู้สึกดี เป็นที่ยอมรับ ของทุกคน ทุกคนรักเรา ชอบเรา

แต่พอทำๆไป ถึงจุดหนึ่ง ตัวเราจะไม่มีความสุข



เพราะ สิ่งที่ทำไม่ได้มาจากเจตจำนงค์เราเอง แต่มาจากความคาดหวังของคนอื่น
สุดท้าย จะรู้สึกว่างเปล่า หาตัวเองไม่เจอ หลายคนตอบไม่ได้ว่าจริงๆเราต้องการอะไรกันแน่

แต่การคิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่ฟังเสียงคนอื่นเลยก็อาจไม่ใช่คำตอบเช่นกัน

แม้บางคนจะมั่นมาก ไม่แคร์ใคร

แต่ลึกๆ เมื่อถามต้วเองจริงๆ ก็ไม่ใคร่มีความสุขมากนัก
ที่่ทุกคนไม่ชอบ ไม่ยอมรับตัวเราเลย

สุดท่ายก็รู้สึกว้าเหว่า เหมือนไม่มีใคร
เพราะ มนุษย์ลึกๆ ต้องการการเชื่อมโยงกับคนอื่น แม้จะเป็นคนที่มั่นใจมากๆๆๆก็ตาม

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการจัดสมดุลของชีวิต

ทุกครั้งเวลาตื่นนอน ลองถามต้วเองว่า วันนี้เราเป็นใคร เราต้องการอะไร
อย่างน้อยการกลับมารับรู้ ความรู้สึก ความต้องการของตัวเอง

เป็นประตูแรกที่นำไปสู่การใช้ชีวิตที่สมดุลขึ้น
สำหรับคนที่มักแคร์ความคาดหวังของคนอื่นมากไป

ส่วนคนที่คิดถึงแต่ความต้องการของตัวเอง
ในแต่ละวัน ลองฝึกใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นให้มากขึ้น
คุณจะได้ใชัชีวิตได้อย่างสมดุลมากขึ้น

ความรู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยว แปลกแยกจากคนอื่น จะลดลง




การจัดสมดุลของชีวิตก็เหมือนการขี่จักรยาน

คุณไม่สามารถเอียงน้ำหนักไปข่้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป

แต่การจัดน้ำหนักให้ สองข้าง เท่ากัน จึงจะทำให้คุณสามารถขี่จักรยานไปข้างหน้าได้
อย่างดีและมีความสุข

ชีวิตก็เหมือนกัน การจัดสมดุลชีวิตของตัวเองให้ดี ให้ความสำคัญกับตัวเอง และ ของคนอื่น อย่างสมดุล

จะทำให้ชีวิตคุณก้าวไปข้างหน้าได้
ได้อย่างดี และ มีความสุขมากขึ้น



บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล




เครดิตภาพ : http://allegralaboratory.net/going-native-at-home/




วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ความงาม"

"ความงาม" บางทีต้อง ใช้เวลา กว่าจะเผยตัวออกมานะ

"วัชพืช" ที่อยู่หน้าบ้านตอนอยู่ Toronto
ที่ขึ้นมาเกะกะต้นสาระแหน่
ต้นที่ไม่สวยเลย ตลอดฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


แต่ที่แท้เป็น"ทิวลิป" ที่สวยงาม.... ^___^

"วัชพืช" ได้เปิดเผย "ความงาม" ตอนหน้า Spring
(เกือบถอนไปแล้วไหมล่ะ 55...)


"ความงาม" บางทีต้องใช้เวลา กว่าจะเผยตัวออกมานะ

เพราะ ความงามบางอย่าง เป็นเงื่อนไขของเวลา....
ใจร้อนไม่ได้ 555


และ ด้วยอนิจจัง...... ทำให้ได้ชื่นชมความงาม


บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

 


เครดิตภาพ :  http://sainahkamanatai.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แก้ไขความคิดที่ไม่ดี ด้วยความคิดดีๆ ได้หรือไม่ ?

แก้ไขความคิดที่ไม่ดี ด้วยความคิดดีๆ ได้หรือไม่ ?

แก้ ลบ ด้วย บวก อาจได้บ้างในบางกรณี

แต่ที่ใช้ได้ทุกกรณี คือ รู้ทันความคิดลบ

 

แล้วปล่อยวางความคิด(ยึด)ลบนั้น
ทำบ่อยๆ รู้ทัน(ลบ)บ่อยๆ
ความเป็นกลางเกิดขึ้น
ใจก็เบาสบายขึ้น
การมองโลกก็เปลี่ยนไปเองค่ะ
เปลี่ยนแบบธรรมชาติ
โดยไม่ต้องพยายามแก้ไขความคิดอะไรค่ะ

สำคัญคือการฝึก"รู้ทัน"ความคิดด้านลบให้เห็นว่ามันมาอีกแล้ว
เห็นให้บ่อยๆ จะเกิดความเป็นกลางได้บ่อยขึ้นๆค่ะ

การเติมบวกโดยไม่ละลบจะเติมได้ไม่จริงเพราะจิตยังกุมลบไว้มั่น
สิ่งบวกก็เข้าไม่ได้ค่ะ

เหมือนน้ำเน่ายังอยู่เต็มแก้ว
ถ้าเราไม่รู้ว่ามีน้ำเน่าอยู่
แต่จะใส่เทน้ำดีเข้าไป น้ำดีก็เข้าไปไม่ได้ค่ะ เพราะแก้วยังเต็มอยู่ค่ะ


ดังนั้นจำเป็นต้องหมั่นเทน้ำเน่าออกไปบ้าง เพื่อให้แก้ว(จิต)มีพื้นที่รับน้ำดีค่ะ ^__^



บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

เครดิตภาพ : http://pantip.com/topic/30812529

แก้ไข "ความคิดที่ไม่ดี" ด้วย "ความรู้สึกที่ดี" ได้หรือไม่ และ อย่างไร?

แก้ไข "ความคิดที่ไม่ดี" ด้วย "ความรู้สึกที่ดี" ได้ หรือไม่ และ  อย่างไร?

ได้ค่ะ....ด้วยการส่งความปรารถนาดีให้ค่ะ


เช่น ถ้ามักคิดกับตัวเองไม่ดี มักตำหนิก่นด่าตัวเองบ่อยๆ

 

ก็ลองส่งรู้สึกดีๆส่งความปรารถนาดีให้ตัวเองบ่อยๆ
 

จิตใจก็จะเริ่มรู้สึกดี มีกำลัง
 

ความคิดแย่ๆกับตัวเองก็ลดลง
 

จากความรัก ความปรารถนาดี ความเมตตา ที่หมั่นให้กับตัวเอง
 

ก่อให้เกิดกำลังใจด้านดีๆ
 

ทำให้ใจมีพลัง ^ ^

การมองตัวเองและมองโลกก็ดีขึ้นค่ะ :)) 









บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล


เครดิตภาพ :  https://www.facebook.com/Mamuangjungdotcom/photos/pb.603313313030393.-2207520000.1408793397./673139812714409/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

# พลังของความปรารถนาดี ^ ^



พลังของความปรารถนาดี....แม้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา
แต่หลายครั้งสามารถสัมผัสได้ด้วยใจ ^_____^

และอาจให้อะไรมากกว่าที่เราเข้าใจ

ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องไอซียูเรื่องนี้ค่ะ
(นำมาจากเรื่องจริง โดย พระไพศาล วิลาโล ค่ะ)

...ชายหนุ่มคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บทางสมอง และ ไตวายเฉียบพลัน
ต้องฟอกเลือด อยู่ในภาวะโคม่า
หมอบอกว่ามีโอกาสรอดน้อยมาก

ระหว่างที่นอนหมดสติอยู่ในห้องไอซียูนานเป็นอาทิตย์

เขาเล่าว่ารู้สึกเหมือนลอยเคว้งคว้าง...
แต่บางช่วงจะรู้สึกว่า มีมือมาแตะที่ตัวเขาพร้อมกับมีพลังดีๆส่งเข้ามา

ทำให้ใจที่เคว้งคว้างเหมือนจะขาดหลุดไปนั้น
กลับมารวมตัวกัน
เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา

สักพักความรู้สึกตัวนั้นก็เลือนรางไปอีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน...

เขามารู้ภายหลังว่า มีพยาบาลคนหนึ่งทุกเช้าที่ขึ้นเวร
จะเดินเยี่ยม ทักทายให้กำลังใจ คนไข้ทุกคน

แต่ถ้าคนไข้ยังโคม่าอยู่ เธอก็จะจับมือส่งความรู้สึกดีๆและให้กำลังใจ
"ขอให้มีกำลังและรู้สึกตัว"

พอถึงเวลาลงเวรตอนบ่าย ก็บอกคนไข้ว่า ดิฉันจะลงเวร
"ขอให้คุณสบายทั้งคืน พรุ่งนี้พบกันใหม่"

กำลังใจและความเมตตานั้นมีพลังที่แม้แต่คนไข้ซึ่งหมดสติไปแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้

เรื่องนี้เป็นข้อคิดแก่หมอ พยาบาล และ ญาติ ว่าคนไข้โคม่านั้น
เขาโคม่าแต่กาย
ส่วนจิตใจยังสามารถรับรู้ได้ แม้จะรางๆ...

คำพูดและสภาวะจิตใจของหมอ พยาบาล และ ญาติ ไม่ว่า
ทางบวกหรือลบ
สามารถมีอิทธิพลต่อผู้ป่วยได้

ถ้าพูดหรือคิดในทางร้าย อาการของผู้ป่วย ก็อาจจะทรุดลงได้
แม้จะให้ยาเต็มที่แล้วก็ตาม...

ดังนั้นพลังดีๆ มีผลต่อจิตใจได้อย่างมากนะคะ

แม้จะมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจค่ะ

ตัวเราเองเมื่อส่งความปรารถนาดีกับคนรอบข้าง
สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นพลังดีๆย้อนกลับมาหาเราด้วยเช่นกันค่ะ

เพราะใจเราก็อ่อนโยนขึ้น มีพลังดีๆไปด้วยค่ะ

#พลังของความปรารถนาดีกับตัวเอง ^__^

ไม่เพียงแต่คนป่วย หรือ คนอื่นๆ ที่เราจะส่งพลังดีๆ พลังแห่งความเมตตาให้เขานะคะ

แม้กับตัวเราเอง
ถ้าเราลองส่งพลังดีๆ พลังแห่งความปรารถนาดี ให้ตัวเองบ้าง ในแต่ละวัน ^__^

พลังดีๆและกำลังใจเหล่านี้
จะช่วย "เยียวยาใจ" เรา ให้สดชื่น มีกำลัง เกิดความแข็งแรงขึ้นในจิตใจได้ค่ะ

เมื่อจิตใจเรามีกำลัง แข็งแรงขึ้น
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคข้างนอกสักเพียงใด เราก็สามารถฟันฝ่าไปได้ค่ะ ^__^

ในทางตรงข้ามถ้าเราหมั่นว่าตัวเอง ตำหนิตัวเอง
จิตใจเราก็ห่อเหี่ยว เรื่องเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
เพราะใจเราหมดแรงที่จะต่อสู้อ่ะนะคะ

ดังนั้น
.....วันนี้ อย่าลืมส่งความปรารถนาดีให้กับ ตัวเอง และ คนรอบข้าง นะคะ...

ด้วยความปรารถนาดีจาก
พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล ค่า ^___^





 http://otrazhenie.files.wordpress.com/2013/06/help.jpg



เครดิต เรื่องเล่าในไอซียู : จากหนังสือ ธรรมะสำหรับผู้ป่วย โดย พระไพศาล วิสาโล
http://www.kallayanatham.com/book/book_180.pdf
เครดิตภาพ : http://otrazhenie.wordpress.com/2013/06/16/we-cant-help-everyone-but-everyone-can-help-someone/

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไว้อาลัยการจากไปของ โรบิน วิลเลียมส์ และ มารู้จัก "โรคซึมเศร้า" ที่ในข่าวกล่าวถึงค่ะ


ช่วงนี้มีข่าว ช็อคโลก และ น่าเศร้า อย่างมาก
คือ การฆ่าตัวตาย ของ โรบิน วิลเลียมส์
(Robin Williams) นักแสดงคุณภาพของ ฮอลลีวู้ด
ซึ่งเป็นขวัญใจของใครหลายคน รวมถึงตัวหมอเอง T T

และ กระแสข่าวหนึ่ง (ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องท้้งหมด)
ได้กล่าวถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายครั้งนี้
ว่ามาจาก "โรคซึมเศร้า"

ส่วนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการเสียชีวิตแท้จริงเป็นอย่างไร คนวงในเท่านั้นที่จะทราบ...

แต่ในส่วนของตัวเราเองการเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้
สามารถเป็นประโยชน์กับตัวเราเองและคนรอบข้างค่ะ

ว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร ทำให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร
และ แนวทางการดูแลรักษาโรคนี้อย่างถูกวิธีคืออะไร ค่ะ

#โรคซึมเศร้าคืออะไร

"อารมณ์ซึมเศร้า" เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้นะคะ
ในชีวิตเราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาเศร้าบ้าง ทุกข์ใจบ้างเป็นธรรมดานะคะ

แต่เมื่อไหร่ล่ะ เราถึงจะบอกว่า ความเศร้านี้ ไม่ใช่ปฏิกิริยาทางใจธรรมดาเสียแล้ว
แต่คือ "โรคซึมเศร้า"

โรคซึมเศร้า ประกอบด้วยอาการต่างๆดังนี้ค่ะ
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ไม่สดชื่น มีอาการเกือบตลอดวัน

2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เคยชอบ ก็ไม่สนใจ เบื่อหน่ายไปหมด

3. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด กินน้อยลง หรือ บางคนอาจเป็นแบบตรงข้ามคือ กินจุมากขึ้น น้ำหนักเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 5 ใน 1 เดือน

4. นอนไม่หลับ นอนได้น้อยลง หรือ บางคนตรงข้ามกลายเป็น นอนมากขึ้น นอนทั้งวัน

5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด หรือ บางคนอาจเป็นตรงข้ามกระวนกระวายกว่าปกติ

6. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง

7. ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หรือ รู้สึกผิดง่ายกว่าปกติ
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ

8. สมาธิเสีย ทำอะไร ไม่ค่อยมีสมาธิ รู้สึกลังเล สงสัยมากขึ้นกว่าปกติ

9. คิดเรื่องการฆ่าตัวตาย หรือ อยากฆ่าตัวตาย
ข้อนี้สำคัญมากค่ะ หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย
ตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า นะคะ

อาการที่กล่าวมาไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการถึงบ่งบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้านะคะ
โดยมีอย่างน้อยอาการ 5 อาการใน 9 อาการที่กล่าวมา
และ ต้องเป็นต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ถึงจะสงสัยว่าจะเกิดโรคซึมเศร้าค่ะ

โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัว มีทางรักษาให้หายได้ค่ะ
ยิ่งมารักษาแต่ต้นๆจะยิ่งรักษาได้ผลดีค่ะ

#การรักษาโรคซึมเศร้า

โดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญการรักษาโรคนี้ คือ จิตแพทย์ค่ะ
วิธีการรักษามีดังนี้ค่ะ

1. การทานยาต้านเศร้า
เนื่องจากโรคนี้ เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองด้านอารมณ์เศร้าที่เสียสมดุลไป
(สารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องหลักๆ คือ สารเซโรโทนิน และ นอร์อีพิเนฟฟรีน)
จึงทำให้เกิดความซึมเศร้ามากผิดปกติค่ะ
ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยากเศร้าขนาดนี้ แต่อารมณ์เศร้าปริมาณมากเกิดขึ้นเอง เป็นไปเอง ห้ามไม่ได้
เพราะ เกิดขึ้นเนื่องจาก สารเคมีในสมองเกียวกับเรื่องอารมณ์เศร้า เสียสมดุล
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นค่ะ

การทานยาต้่านเศร้า จะช่วยให้สารเคมีเหล่านี้ กลับมาสมดุลค่ะ
เพราะ ยาจะเข้าไปช่วยปรับให้สารเคมีในสมอง ที่เสียสมดุลไปจนเกิดอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ เข้าสู่ภาวะปกติค่ะ

เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่ภาวะปกติ อารมณ์ใจคอก็จะกลับมาเป็นปกติ เป็นคนเดิมค่ะ
(จากเดิมที่เคยเป็นคนร่าเริง จะกลับมาเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิมได้ค่ะ)

และเป็นโชคดีของคนยุคนี้นะคะ
เพราะ วิทยาการแพทย์สมัยใหม่ มีการพัฒนายาต้านเเศร้าใหม่ๆออกมามากขึ้น ซึ่งประสิทธิภาพดีขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลงมากค่ะ

แต่ถ้าทานยาแล้วพบผลข้างเคียงแจ้งแพทย์ที่รักษาได้เลยนะคะ
แพทย็จะได้ปรับยาให้เหมาะสมที่สุดค่ะ

2. การรักษาทางจิตใจ

เช่นการทำจิตบำบัด ปรับวิธีคิด หรือ แก้ปมในจิตใจ
ซึ่งเป็นวิธีรักษาควบคู่กับการทานยาต้านเศร้าค่ะ

เพราะถ้าอาศัยด้วยการรักษาทางจิตใจอย่างเดียว อาจช่วยได้ไม่เต็มทีค่ะ
เพราะ สาเหตุหลักการเกิดโรคนี้ เกิดจากสารเคมีอารมณ์เศร้าในสมองเสียสมดุลค่ะ

แต่การบำบัดทางจิตใจร่วมประกอบด้วยจะช่วยให้ การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
เพราะ กายกับใจ มีผลต่อกันค่ะ

การทานยาคือการรักษาทางกาย ส่วนจิตบำบัดคือการรักษาทางใจค่ะ

3. การอยู่โรงพยาบาล
โดยเฉพาะในกรณีที่มีความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตาย

คือ ถ้ามีความเสี่ยงการฆ่าตัวตายสูง จำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล
เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงภาวะ วิกฤติ และความรู้สึกอยากตาย

เพราะเพียงเสี้ยววินาที ของผู้ที่มีโรคซึมเศร้าอย่างหนัก
อาจตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เกิดการฆ่าตัวตายได้

ภาวะวิกฤติแบบนี้การอยู่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่าค่ะ

4. การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้า

- ไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆในชีวิต เพราะ โอกาสตัดสินผิดพลาดสูงมากค่ะ เพราะ อารมณ์ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติค่ะ

- พยายามไม่คิดอะไรมากๆยาวๆ เพราะ ยิ่งคิดจะวนกลับไปเป็นด้านลบ ด้วยตัวโรค

- หากิจกรรมสบายๆทำ ที่ไม่เครียดไม่กดดัน

- อย่ากดดัน เร่งรัดตัวเองว่าต้องรีบหายค่ะ รักษาตัวเองอย่างถูกวิธีอาการดีขึ้นเองค่ะ

สำหรับญาติ

- อย่าเร่งรัด คาดหวัง ให้ผู้ป่วยรีบหาย
เพราะ ยิ่งสร้างความกดดัน
เพราะจริงๆผู้ป่วยเองก็ไมได้อยากเศร้า ความเศร้าเกิดขึ้นเอง
แต่การดูแลถูกวิธี ทานยา และ พบแพทย์สม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการค่อยๆทุเลาลง จนหายไปในที่สุดคะ

- เป็นกำลังใจ
โดยเปลี่ยนจากความคาดหวัง เป็น ความเข้าใจ ตรงนี้จะช่วยผู้ป่วยได้มากกว่าค่ะ

- ค่อยๆ ชวนผู้ป่วยทำกิจกรรมที่สบายๆ ไม่กดดัน เพลิดเพลินใจ
(แต่ตรงนี้ต้องระวัง อย่าคะยั้่นคะยอ
ถ้าผู้ป่วยยังไม่พร้อม จะทำให้ความหวังดีกลายเป็นความกดดัน โดยไม่รู้ตัวค่ะ)

- เฝ้าระวัง เรื่องการฆ่าตัวตาย
ถ้าเห็นท่าไม่ดี ผู้ป่วยเริ่มคิดถึงเรื่องการอยากตาย
เก็บอาวุธที่อาจเป็นอันตราย ดูแลใกล้ชิดและ พามาพบแพทย์ก่อนนัดได้ค่ะ

ด้วยความรัก ความเข้าใจ และ การดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
จะช่วยให้ผู้ป่วย และ ญาติผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ค่ะ

พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

หมายเหตุ: แนบเว็บไซด์ที่มีแบบสอบถามภาะอารมณ์เศร้า
โดย ศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล
ตามเว็บไซค์นี้ะ

http://www.ramamental.com/phq9/PHQ9_Thai.pdf

เกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
นำคะแนนข้อ 1-9 มารวมกัน เทียบความรุนแรงตามข้างล่างนี้
5-8 มีอาการเล็กน้อย
9-14 โรคซึมเศร้าขั้นอ่อน
15-19 โรคซึมเศร้า ขั้นปานกลาง
ตั้งแต่ 20 ไป โรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง

**** ค่าคะแนนและความรุนแรงดังกล่าวเป็นเพียงการเปรียบลำดับอาการ
ไม่ได้บ่งบอกถึงการวินิจฉัย
การที่จะบอกว่าท่านเป็นโรคซึมเศร้า หรือไม่ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย
เพราะมีโรคต่างๆ หลายโรคที่ทำให้มีอาการเช่นนี้ได้
รวมทั้งโรคทางร่างกายและยาหรือสารต่างๆ

เครดิต : แบบสอบถามภาวะอารมณ์ โดย ศ.นพ. มาโนช หล่อตระกูล

เครดิตภาพ :http://www.forbes.com/sites/dorothypomerantz/2014/08/11/robin-williams-found-dead-of-apparent-suicide/

ท้ายนี้
".....ขอไว้อาลัยการจากไป ของ Robin Williams ค่ะ....."


วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความรุนแรงในครอบครัว

เรื่องของความรุนแรงในครอบครัว เป็นเรื่องที่มีมานาน
นานคู่กับโลกใบนี้เลยทีเดียวค่ะ
เป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งในชีวิตลูกผู้หญิงกันเลยทีเดียว

งานวิจัยหนึ่งพบว่าในประเทศไทยมี ผู้หญิงไทยถูกทุบตี หรือ ทำร้ายจากสามี หรือ คู่รัก ร้อยละ 20-50
และผู้ชายไทยในเขตกรุงเทพฯ ยอมรับว่าเคยทุบตีหรือทำร้ายภรรยา ถึง ร้อยละ 20

ซึ่งไม่น้อยเลยค่ะ ><"

บทความนี้ หมอได้นำเนื้อหาความรู้ บางส่วนบางตอน....
จาก หนังสือ 100(ร้อย)เรื่อง รัก...รุนแรง
เขียนโดย ศ.นพ. รณชัย คงสกนธ์
อาจารย์จิตแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลข้อมูลจากเหตุการณ์จริง และองค์ความรู้มากมายเกี่ยวกับ ความรัก(รุนแรง)ในครอบครัว
และ เพิ่มเติมบางส่วนโดยหมอเบิ่นนี่

#ทำไมผู้ชายถึงทำร้ายผู้หญิง

สาเหตุของพฤติกรรมรุนแรงพบได้ จาก 3 ประการ

1. มาจากการใช้สารเสพติด เช่น สุรา ยาบ้า หรือ สารเสพติดอื่นๆ เพราะ สารเสพติด ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ

2. จากความผิดปกติในเนื่อสมอง เช่น เป็นโรคทางสมองบางชนิด หรือ เกิดจากสารเคมีในสมองผิดปกติ
ทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด

3. เกิดจากนิสัย บุคลิกภาพส่วนตัว
- ถูกกระทำทารุณกรรมตั้งแต่เด็ก
- โตมาในครอบครัวที่บิดามารดาทะเลาะเบาะแว้งกัน
- เลียนแบบการแสดงความก้่าวร้าว เรียนรู้มาว่าเป็น วิธีที่ได้ผล
- เติบโตมาในครอบครัวที่ผู้ชาย เป็นใหญ่
- มีความเชื่อว่า ผู้หญิงเป็นสมบัติของผู้ชาย จะทำอะไรก็ได้
- บุคลิกภาพนิยมความก้าวร้าว
- ชอบทำร้ายผู้อื่น ทารุณกรรมสัตว์ เห็นเป็นเรื่องสนุก
- การคนที่มีอารมณ์แปรปรวนง่าย
- บุคคลิกโมโหง่าย เก็บอารมณ์ไม่อยู่
- มีความยกย่องนับถือตนเองต่ำ
- การต้องการควบคุมผู้อื่น
- การต้องการแสดงพลังความเป็นชาย
- อิจฉาริษยาคู่ของตน

ในทางจิตวิทยา บุคลิกก้าวร้าว รุนแรง เกิดจาก ในวัยเด็กได้ดังนี้
1. เด็กในกรอบ
คือ เด็กที่พ่อแม่เลี้ยงดูให้อยู่ในกรอบมาก จับผิดลูกทุกอย่าง ทำให้เด็กกลุ่มนี่้ โตมามีความเคร่งเครียดในตัวเองสูงมาก รู้สึกผิดได้ง่าย ไม่ค่อยได้ทำอะไรตามใจตัวเอง จึง มีวิธีแก้ปัญหาเวลาเครียดค่อนข้างจำกัด  และ เวลาระเบิดอารมณ์จึงรุนแรงได้มาก

2. เด็กที่ถูกตามใจสุดๆ
อยากได้อะไรต้องได้ กลายเป็นเด็กอ่อนปวกเปียก เพราะมีคนคอยปกป้องอย่างเต็มที่ กลายเป็นคนไม่สามารถเผชิญปัญหาโลกภายนอกได้อย่างเต็มที่ ร่วมกับเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น เมื่อเกิดปัญหาจึงจัดการได้ไม่ดี และ ไม่ให้เกียรติผู้อื่น

3. เด็กที่เป็นโรคขาดรัก
คิดว่าพ่อแม่่ไม่รัก กลายเป็นปมด้อยฝังใจ ขาดความเชื่อมั่น ขาดการนับถือตนเอง
ทำให้มีความโกรธเคืองบุคคลรอบข้าง จิตตกได้ง่ายและกลายเป็นคนโกรธ โมโหง่าย
และ อาจมีพฤติกรรมเรียกร้องความรักหรือแสดงอำนาจเหนือเพื่อข่มคนอื่น เพื่อสร้างปมเด่น ทดแทนความรู้สึกด้อยค่า

ปัจจัยกระตุ้นจากอีกฝ่าย คือ
1. คู่สมรสไม่ปรองดองกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ เช่น แนวคิดที่แตกต่าง ปรับตัวเข้าหากันไม่ได้
2. ไม่รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
3. คู่สมรสที่มีลักษณะ กระตุ้นให้โมโห
เช่น พูดเยอะ ชอบบ่น ชอบด่าว่า หรือ นำเรื่องของอีกฝ่ายไปประจานในสังคมต่างๆ เพื่อให้อีกฝั่งอับอาย เช่น กลุ่มเพื่อนสามี คนแถวบ้าน หรือ ที่ทำงาน เป็นต้น
4. มักแสดงท่าที หรือ พูดจา ข่มให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อย ไม่ให้เกียรติ
จะกระตุ้นให้อีกฝั่งโมโหได้มาก กระตุ้นปมด้อย จนอีกฝั่งอยากแสดงปมเด่นออกมา เพื่อลดความรู้สึกต่ำต้อย
5. ลักษณะกระตุ้น ความหวาดระแวง ขี้หึง ของสามี ทำให้อีกฝ่าย เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ กระตุ้นความรู้สึกหึงหวงอยู่ตลอดเวลา
6. ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ เช่น คู่สมรสวัยรุ่น
7. ลักษณะต้องพึ่งพิงสามีมาก เช่น จากปัญหาฐานะ เงินทอง  หรือ จากความรู้สึกยึดติดสามีมาก ขาดเขาไม่ได้ ทำให้ อีกฝั่ง รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจเหนือกว่ามาก จะทำอะไรก็ได้ ขาดความเกรงใจ
8.สถานภาพของผู้หญิงที่ด้อยกว่ามาก ทำให้ผู้หญิงขาดอำนาจการต่อรอง และ ต้องยอมทนอยู่กับปัญหา

#ทำไมผู้หญิงถึงอดทนต่อการถูกทำร้าย

- ยังต้องการดูแล และ ช่วยเหลือจากสามี ทั้งทางเงินทอง และ ทางใจ
- อดทนเพื่อลูก
- มีความรักเต็มเปี่ยมกับสามี
- คาดหวังการชนะใจ ในที่สุด
- ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดการยอมรับนับถือตนเอง
- รู้สึกว่าตนเองบกพร่อง เป็นต้นเหตุให้สามีโกรธ
- มีทัศนคติว่า ผู้หญิงต้องมีหน้าที่ปรนนิบัติสามี และ ต้องอดทนกับทุกสถานการณ์
- มองว่าการกระทำความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ
- กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวความโดดเดี่ยว กลัวความเหงา
- ไม่อยากให้ภาพลักษณ์เสีย หรือ กลัวถูกมองว่าล้มเหลวจึง ปกปิดไว้ เพื่อให้ภาพภายนอกออกมาดูดี
- ไม่มีที่ปรึกษา ขาดที่พึ่ง

#ทำอย่างไรเมื่อถูกทำร้าย

- ตั้งสติให้ดี
- พยายามเอาตัวออกมาจากสถานการณ์ที่รุนแรง
- ปรึกษา และ ขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจได้ เช่น จากเพื่อน คนในครอบครัว
-ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ ที่สามารถช่วยหาสาเหตุความรุนแรงในครอบครัวแล้วให้การรักษาและคำแนะนำ แก่ภรรยาและสามีได้
โดยถ้าสามีไม่พร้อมมา ภรรยาสามารถมาขอคำปรึกษาก่อนได้
- รู้สิทธิของตนเอง ที่จะปฏิเสธไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอีก
-ในกฏหมายสามารถแจ้งความได้
- ในกรณีฉุกเฉิน แจ้งตำรวจ แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 หรือ ขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ เช่นมูลนิธิต่างๆ เป็น ต้น

บทความนี้ นำบางส่วนบางตอน มาจาก หนังสือ 100(ร้อย)เรื่อง รัก...รุนแรง
เขียนโดย ศ.นพ. รณชัย คงสกนธ์

เพิ่มเติมบทความบางส่วนโดย ผศ.พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล


เครดิตภาพ:  http://www.mcot.net/site/content?id=528ef764150ba0227000026d#.U9u2iaP5PGg