วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

"เวลาของฉันมาถึงแล้ว"


"เวลาของฉันมาถึงแล้ว"  
"My time has come."

หลายคนอาจนึกไปถึงช่วงเวลาโอกาสทองของชีวิตที่มาถึง
ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่เรากำลังจะรุ่งเรือง สมปรารถนากับอะไรสักอย่าง


แต่ "My time has come."
"เวลาของฉันมาถึงแล้ว"
ประโยคนี้ที่กล่าวในภาพยนตร์อนิเมชั่น เรื่อง กังฟู แพนด้า ภาค 1

กลับมีนัยยะที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เป็นประโยคที่อาจารย์เต่าอุกเว กล่าวลากับ ฉีฟู่ ศิษย์ของตน
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต......
ก่อนที่จะลาจาก โลกนี้ไปตลอดกาล......


ช่วงเวลาอื่นๆของชีวิต แม้จะยิ่งใหญ่
แต่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกลับสำคัญกว่า
เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายอย่างเปี่ยมล้น ทั้งกับตัวเราเองและ กับคนที่รักเรา

"เวลาของฉันมาถึงแล้ว"
ไม่แต่อาจารย์อุกเวเท่านั้นที่พบช่วงเวลานี้

เราทุกคนย่อมมีช่วงเวลานี้มาถึงสักวัน
ไม่มีใครปฏิเสธ หรือ หนีพ้นได้

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า เวลานั้นของเราจะมาถึงเมื่อไหร่...

ดังภาษิตธิเบตกล่าวว่า “ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้หรือชาติหน้า อะไรจะมาก่อนกัน”


เราและทุกๆคนที่เรารู้จัก .....
ไม่มีใครรู้ว่า การเปิดประตูออกจากบ้านครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
การพูดกับคนที่เรารักครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
การกินข้าวมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายหรือไม่
การหัวเราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
ไม่มีใครตอบได้ ทั้งตัวเรา และ คนที่รักเรา

และเมื่อ เวลานั้น "เวลาของเรา" มาถึงแล้ว

เราอยากให้เวลานั้นของเราเป็นเช่นไร

หลายคนอาจคิดและรู้สึกไปต่างๆนานา


แต่สิ่งหนึ่่งที่พบร่วมกันในทุกชาติทุกภาษา
ในวินาทีนั้น ล้วนต้องการสิ่งเดียวกัน คือ

การจากไป พร้อมกับใจที่ผ่อนคลาย สบาย สงบ
ไม่รู้สึกเจ็บปวด ติดค้าง เสียดาย เสียใจกับอะไร


ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับอะไร ?

ความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับ “วันนี้”


เพราะ "วันนี้" เป็นวันเริ่มต้นของชีวิตที่เหลือ

การเตรียม"วันนี้"ให้ดีที่สุด
จะเป็นโอกาสที่จะทำให้วันสุดท้ายของเราเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเช่นกัน


เพราะ "อนาคต" เป็น ผลลัพธ์ของ "ปัจจุบัน"

“วันนั้น” ก็เป็นผลลัพธ์จาก สิ่งที่เราทำใน “วันนี้”


การเตรียม "วันนี้" ให้ดีที่สุดทำอย่างไร ?

ดังข้อมูลเหล่านี้

Bronnie Ware พยาบาลชาวออสเตรเลีย ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต
ได้รวบรวมข้อมูลความต้องการก่อนเสียชีวิตไว้อย่างมากมาย

เธอพบว่า 5 อันดับแรก ที่คนใกล้เสียชีวิตรู้สึกเสียดาย และ เสียใจ คือ

1. เสียดายที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ

หลายคนใช้ทั้งชีวิตทำตามความคาดหวังของคนอื่นตลอดเวลา
จนไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการจริงๆสักที จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต


2. ทำงานหนักจนลืมครอบครัว ลืมคนที่เรารักและรักเรา

หลายคนให้เวลาในชีวิตไปกับเรื่องงาน เรื่องสังคม และ เรื่องคนอื่นๆ
(ที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีความหมายมากมายในชีวิต) เป็นหลัก
จนละเลยคนที่เรารัก และ รักเรา

เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต หลายคน รู้สึกเสียใจ


3. เสียใจที่ไม่ได้พูดในสิ่งที่รู้สึก โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก

หลายคนรู้สึกอัดอั้นตันใจ ติดค้างอยู่ในใจ และ ขมขื่นมาก
ที่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

4. เสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลากับเพื่อนอย่างคุ้มค่า

หลายคนเมื่อถึงเวลาสุดท้าย มิตรภาพเก่าๆ
ได้หวนกลับมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง

และรู้สึกเสียดายเมื่อตอนที่มีโอกาสได้ละเลยสิ่งนี้ไป

5. เสียใจที่ไม่ได้เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

หลายคนใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างอมทุกข์
เพราะความกลัวจึงไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
หรือ ไม่เคยอนุญาตให้ตนมีความสุข เพราะ เข้มงวดกับตนเองมากเกินไป
หรือ เพราะความโกรธแค้นฝังใจ จึงหาความสุขทางใจไม่ได้เลย

เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย จึงรู้สึกเสียดายโอกาสในชีวิตที่ตนไม่ได้เคยใช้ชีวิตจริงๆสักที
(แต่กลับถูกชีวิตใช้มาโดยตลอด) ><"


จาก 5 สิ่งที่กล่าวมา สิ่งที่มีคุณค่าและความหมายกลับไม่ใช่สิ่งภายนอกหรือสังคมอะไรเลย
กลับเป็น ตัวเอง และ คนที่เรารัก

เมื่อ"วันนี้" เรายังมีโอกาส
เราที่ยังมีชีวิตอยู่
เราที่ยังหายใจ
เราที่ยังทำอะไรต่ออะไรได้


ใช้โอกาสที่ยังมีนี้ให้คุ้มค่า ทั้งกับตัวเราเอง และ คนที่เรารัก

เพราะที่สุดแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือ
ความสุข และ ความอิ่มใจในชีวิต

ซึ่งความสุข และความอิ่มใจในชีวิต เกิดจาก
- การได้ดูแลตัวเอง
- การได้ดูแลคนที่เรารัก
- ได้ทำสิ่งที่รู้สึกมีคุณค่า

ลองกลับมาทบทวนนะคะ ว่า "วันนี้ เรา ทำแล้วหรือยัง" นะคะ

เพราะ เมื่อ “เวลานั้นของเรามาถึง” ^___^
จะได้เป็นเวลาที่งดงามที่สุดสำหรับเราจริงๆค่ะ

เพราะเรารู้สึกอิ่มใจในชีวิตแล้วค่ะ

ก่อนที่.......
"My time has come"


บทความโดย พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล







เครดิตภาพ: http://www.youtube.com/watch?v=0c9sI2-TDS0

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

4 วิธี เปลี่ยนจากความล้มเหลว ไปสู่ ความสำเร็จ


ความล้มเหลวเป็นของแสลงที่ทุกคนล้วนไม่อยากเจอนะคะ 
เป็นคำที่โหดร้ายมาก โดยเฉพาะกับหลายๆคนที่มุ่งใฝ่สำเร็จเป็นที่ตั้งนะคะ
จะยิ่งแย่กับสิ่งนี้มากขึ้นเป็นทวีคูณค่ะ

แต่ในชีวิตหลายครั้งเราไม่สามารถทำให้ตนเองประสบความสำเร็จตลอดเวลาได้
เพราะ มีปัจจัยอีกหลายๆอย่างที่เหนือการควบคุม 
ดังนั้นเมื่อเกิดสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวเรื่องความรัก เรื่องงาน เรื่องเรียน หรือ อื่นๆที่จะเกิดขึ้นได้ในชีวิต
แม้เราไม่อยากให้เกิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว
 
เราจะทำอย่างไรต่อไป ตรงนี้สำคัญกว่านะคะ
 
ไม่มีใครอยากอยู่กับความล้มเหลวไปตลอดชีวิต
แล้วเราจะเปลี่ยนจากความล้มเหลวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไรบ้าง
ลองดูกันนะคะ ^__^

1.ทบทวนความล้มเหลวนั้น
การเรียนรู้จากอดีต เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมากค่ะ 
มีคนกล่าวว่า
ในชั้นเรียนชีวิต มรสุมอันโหดร้าย 1 ครั้ง จะสร้างบทเรียนให้เรา 1 บท
แต่ละบทจะหล่อหลอมให้เราเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ขึ้นทุกครั้งที่เราสอบผ่าน

ดังนั้นการเรียนรู้จากอดีต จึงเป็นคุณค่าที่เงินทองซื้อไม่ได้เลยนะคะ
การเรียนรู้จากอดีตเรียนรู้อย่างไร
?
เรียนรู้ว่า ครั้งนั้น
1.             ได้ทำอะไรลงไป
2.             ครั้งนั้นคิดอย่างไร
3.             ครั้งนั้นรู้สึกอย่างไรถึงทำแบบนั้น

ถ้าเราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง จะเกิดประโยชน์มหาศาลกับการใช้ชีวิตข้างหน้าค่ะ
แต่การจะเรียนรู้จากความล้มเหลวได้ ใจต้องเปิดก่อนนะคะ
เพราะ ถ้าใจปิด ไม่ยอมรับ  ความผิดพลาด ความไม่ประสบความสำเร็จครั้งนั้น
ไม่มีทางที่จะเกิดการทบทวน และ นำมาสู่การเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงได้ค่ะ

การเรียนรู้เกี่ยวกับความล้มเหลว ไม่ใช่การนั่งโทษตัวเอง หรือ ตำหนิตัวเอง
แต่เป็นการเปิดใจ การยอมรับ และ การเข้าใจ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
 และ ใช้ความล้มเหลวครั้งนั้นเป็นบทเรียนชั้นดี เพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่าค่ะ
 
บางครั้ง เรื่องบางเรื่องในชีวิต กว่าเราจะรู้ทางที่ถูก เราต้องผ่านการรู้ว่าทางไหนผิดก่อนนะคะ 
ขั้นตอนที่ล้มเหลว จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากค่ะ เพราะเป็นขั้นที่กำลังจะนำเราไปสู่ความสำเร็จค่ะ
เหมือนกับว่า ความล้มเหลวเป็นขั้นตอนหนึ่งของความสำเร็จเลยทีเดียวค่ะ

 2.     กลับมาดูใจตัวเอง ว่ากำลังจมทุกข์อยู่หรือเปล่า ?
ขั้นตอนนี้สำคัญมากอีกเช่นกันค่ะ ว่า กำลังจมกับความรู้สึกแย่ๆอยู่หรือเปล่า
เช่น ความรู้สึกอับอาย รู้สึกความเศร้า ความรู้สึกชอกช้ำใจ 
เรากำลังโทษตัวเอง หรือ ด่าทอตัวเอง หรือ รู้สึกโกรธเกลียดตัวเองอยู่หรือ่เปล่า
หรือ เรากำลังโทษคนอื่น ด่าทอ โกรธเกลียดคนอื่นอยู่หรือเปล่า 
ถ้าใช่.......
ควรจะฝึกปล่อยวางความรู้สึกแย่ๆที่มีต่อตัวเองและคนอื่นลงนะคะ
เป็นธรรมดาที่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวัง เราก็อดจะรู้สึกแย่ไม่ได้นะคะ
การเกิดความรู้สึกแย่ๆเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ไม่ต้องเก็บกด หรือ ปฏิเสธว่าไม่รู้สึก
เพราะ ถ้าไม่รู้สึกเลยคงแปลกมากกว่านะคะ
 แต่การจมกับมันมากไป ก็ไม่เป็นผลดีเช่นกันค่ะ
เพราะการจมกับความรู้สึกแย่ๆ การเฝ้าตัดสินตนเอง เฝ้าตำหนิตนเอง มีแต่ทำให้ตนเองทุกข์ใจ เป็นการบั่นทอนพลังใจตนเองไปเปล่าๆค่ะ
เพราะการก้าวไปข้างหน้าได้ดี จำเป็นต้องมีพลังใจที่ดีด้วยนะคะ

ดังนั้น ควรฝึกละเว้นความคิดด้านลบกับตัวเอง และ ผู้อื่น
  ฝึกให้อภัยตัวเอง และ ผู้อื่น
ถ้าเผลอคิดแว่บไปด่าทอตัวเอง หรือ ผู้่อื่น
  ฝึกรู้ทันและปล่อยวางความคิดด้านลบนั้นๆนะคะ
ทำได้บ่อยๆ จะเป็นส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้เรากลับมามีพลังชีวิตในการดำรงชีวิตต่อไปนะคะ
  
3.           หาศักยภาพที่ตนมี
กลับมามองตนเองอีกครั้ง มองอย่างยุติธรรมด้วยนะคะ
ว่าเรามีข้อดีอะไรบ้าง เรามีศักยภาพตรงไหนบ้าง
และ เริ่มจากสิ่งนั้นนะคะ
เพราะ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราเริ่มจากสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราถนัดค่ะ
ส่วนถ้าพิจารณาแล้วไปเจอข้อไม่ดี ไม่ต้องรู้สึกท้อใจนะคะ
 
ยอมรับอย่างที่เป็นและพัฒนาให้ดีขึ้นได้ค่ะ 
ขอเพียงเรา รักสิ่งนั้นจริง เราแก้ไขและ พัฒนาตนเองได้ค่ะ  ตามศักยภาพที่มีอยู่ค่ะ

4.             ทำให้แตกต่างจากเดิม
เมื่อได้เรียนรู้จากอดีตอันมีค่านั้นแล้วสิ่งที่จะทำต่อไปคือ
ลองมองดูว่า จะทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมไปได้บ้าง
เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่จะปรับเปลี่ยนบางอย่าง ที่ทำสิ่งต่างๆออกมาได้ดีขึ้นค่ะ
 
ด้วยศักยภาพที่เรามี ด้วยใจที่พร้อม ด้วยความเข้าใจในบริบทที่จะทำมากขึ้น
เมื่อนั้นความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ

ความล้มเหลว ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจของชีวิตนะคะ

บางทีอาจจะเป็นของขวัญที่ห่อมาไม่สวย แต่ข้างในเป็นของที่มีค่ายิ่งนะคะ

เพราะประสบการณ์จากตรงนั้นทำให้เราโตขึ้นเสมอนะคะ สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างยิ่งค่ะ
มีคนที่ประสบความสำเร็จมากมายในชีวิตที่ประสบความล้มเหลวมาก่อนนะคะ
เช่น ผู้พันแซนเดอร์ส ตำนาน KFC
หรือ เจ. เค. โรว์ลิง ผู่แต่งวรรณกรรมโด่งดัง เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์
หรือ ไมเคิล จอร์แดน ผู้เป็นตำนานนักบาสเกตบอลชื่อก้องโลก
ถ้าได้อ่านประวัติของเขาเหล่านี้ ล้วนเคยผ่านช่วงชีวิตที่ประสบความล้มเหลว ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ก่อนจะที่เขาจะประสบความสำเร็จนะคะ


ความล้มเหลวกับความสำเร็จใกล้กันนิดเดียวนะคะ

ขอเพียงเรารู้จักนำโอกาสที่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลว....มาเป็นบันไดขั้นหนึ่งที่ให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จค่ะ

พญ. ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

เครดิตภาพ : 
 http://upcycleyou.files.wordpress.com/2012/03/lifelesson1.png