วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

"สมองของบุคลิก Introvert กับ บุคลิก Extrovert ต่างกันอย่างไร?" โดย พญ.ทานตะวัน

 




"สมองของบุคลิก Introvert กับ บุคลิก Extrovert ต่างกันอย่างไร?"


ในแง่บุคลิก Introvert กับ บุคลิก Extrovert
มีลักษณะเป็นสเปคตรัม (spectrum)
ไม่ได้เป็นแบบ All-or -None (ขาว หรือ ดำ)

ความ I ความ E
มากน้อยต่างกันไปในแต่ละคน

เช่น
😊Introvert มาก
→ ชอบอยู่กับตัวเองมาก ๆ การเข้าสังคม การปฏิสัมพันธ์ทำให้เหนื่อยง่าย
(เลี่ยงได้ จะเลี่ยง)
และ ต้องการเวลามากๆ
กับการอยู่ตนเองลำพังเพื่อฟื้นพลัง

😊Introvert ปานกลาง
→ ชอบสังคมในบางครั้ง
แต่หลังจากนั้นต้องมีเวลาพักฟื้นกับตนเองในทุกวัน

😄 Ambivert
→ กึ่งกลางระหว่าง introvert และ extrovert
(ปรับตัวได้ตามสถานการณ์)

😃Extrovert ปานกลาง
→ ชอบสังคมมากกว่า
แต่ยังมีบ้างบางวันที่อยากอยู่เงียบ ๆ บ้าง

😃Extrovert มาก
→ อยู่กับคนแล้วรู้สึกเติมพลังอย่างยิ่ง ต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ่อย ๆ
การอยู่คนเดียวลำพังเป็นเรื่องทนได้ยาก

โดยคนที่มีสัดส่วน I มากกว่า E
จัดเป็นบุคลิก Introvert
และ คนที่มี E มากกว่า I
จัดเป็นบุคลิก Extrovert
------------------------------------------
ในบทความนี้ จะพูดถึงสมองของ
บุคลิก introvert และ extrovert
มีความต่างกันอย่างไร?

ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัย
ที่ทำให้เขามีบุคลิกภาพแบบนั้น

ประกอบด้วย 4 ส่วนดังนี้

1. ระบบตอบสนองต่อสิ่งเร้า (Arousal System)
😊 Introvert
มีระดับการกระตุ้นในสมอง (Cortical Arousal) มากกว่า
- จึงไวต่อสิ่งเร้ามากกว่า
- จึงเหนื่อยง่ายกว่าเวลาอยู่ในที่มีคนเยอะ
- การปฏิสัมพันธ์
ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนานๆ จะรู้สึกเหมือนถูกสูบพลัง
ปฏิสัมพันธ์กับคนไม่สนิท จะรู้สึกถูกสูบพลังมากกว่าคนสนิท
และ แม้กับการปฏิสัมพันธ์กับคนสนิท (ซึ่งถูกสูบพลังน้อยกว่าไม่สนิท)
แต่ก็ยังต้องการการกลับมาอยู่คนเดียวลำพัง

- จึงต้องการเวลาสงบ --> เพื่อฟื้นฟูพลัง
เพราะ การ 'ชาร์จแบต ต้องอาศัยพื้นที่ส่วนตัว และ การอยู่กับตัวเอง'

😃Extrovert
มี ระดับการกระตุ้นในสมองต่ำกว่า
- จึงต้องการสิ่งเร้ามากกว่า
เช่น เสียงหัวเราะ การอยู่ผู้คน การทำกิจกรรม --> เพื่อ "ชาร์จพลัง"
การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน คือ การเติมพลัง
การอยู่กับตนเองจะรู้สึกเฉา หดหู่ ห่อเหี่ยว เหงา จนถึงทรมานก็มี
ขึ้นกับระดับความ extrovert

'ชาร์จแบต ด้วยการอยู่กับผู้คน'

----------------------------------------

2. ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System)
😊 Introvert
มีแนวโน้มใช้ Parasympathetic Nervous System (ระบบพักผ่อนและฟื้นฟู) มากกว่า
→ จากความชอบความสงบ ช้า ลึก นิ่ง
"ร่างกายและจิตใจต้องการความเงียบ สงบ"

😃Extrovert
ใช้ Sympathetic Nervous System
(ระบบเร่งเร้าและตื่นตัว) มากกว่า
→ จากความชอบความเคลื่อนไหว การมีปฏิสัมพันธ์
ความรวดเร็ว
"ร่างกายและจิตใจ ต้องการการปะทะ...."

----------------------------------

3. เส้นทางการประมวลผลในสมอง (Brain Pathways)

😊 Introvert
ประมวลผลข้อมูลผ่านเส้นทางยาวกว่า
→ ผ่านสมองส่วนที่เกี่ยวกับการไตร่ตรอง ความทรงจำ และอารมณ์
(เช่น สมองส่วน Prefrontal Cortex และ Hippocampus)
→ จึงใช้เวลาคิด ตัดสินใจ และ ประเมินความหมายของประสบการณ์อย่างละเอียด รอบคอบ และ ลึก
การสนทนา
จึงมักถนัดการคุยแบบ Deep Talk
ไม่ค่อยถนัดคุยทักทายทั่วไป ชิทแชท ดินฟ้าอากาศไปเรื่อยๆ
เมื่อต้องอยู่ในสังคม ที่เน้นการคุยแบบทักทายทั่วๆไป
จึงเป็นสถานการณ์ที่ introvert อึดอัด
ไปไม่ค่อยเป็น (awkward moment)

"มีความเป็นนักฟัง มากกว่า นักพูด"

😃 Extrovert
ใช้เส้นทางสั้นกว่า และ เชื่อมโยงกับระบบตอบสนองทันที เช่น Amygdala
→ ทำให้ตอบสนองเร็ว กระตือรือร้น และ ชอบประสบการณ์ตรง
การสนทนา
จึงมีความถนัดกับการทักทายชิทแชท ทักทายทั่วไป แซวไปแซวมา ที่ไม่ลงลึกได้มากกว่า
มีความไหลลื่น และ คล่องตัวกว่า
แต่ไม่ถนัดการคุยแบบ Deep talk เชิงลึก
มีความไปไม่ค่อยเป็น
โดยเฉพาะเมื่อต้องคุย
เกี่ยวกับความคิด/ความรู้สึกภายใน
ที่ต้องอาศัยการสังเกต...อย่างละเอียด และ ระดับลึก

"มีความเป็นนักพูด มากกว่า นักฟัง"

---------------------------------

4. สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)
😊Introvert
มีความไวต่อ Dopamine (สารที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น) มากกว่า
→ รับโดพามีนในปริมาณเล็กน้อยก็รู้สึก"พอ"
และ ถ้ามากเกินไปจะรู้สึกอึดอัด เหนื่อย

😃Extrovert
ต้องการ Dopamine ในระดับสูงกว่า
เพื่อรู้สึก "มีชีวิตชีวา"
→ จึงชอบกิจกรรมตื่นเต้น ท้าทาย
หรือ สถานการณ์ที่มีการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์
หรือ อยู่ผู้คนเยอะ ๆ

------------------
สรุป

😊 Introvert
สมองไวต่อการกระตุ้น
มีการประมวลผลที่ลึกและละเอียด
การเข้าสังคม รู้สึกว่าต้องใช้พลังงานเยอะ
ต้องการเวลาสงบเงียบกับตนเองเพื่อฟื้นฟูพลัง

😃Extrovert
สมองต้องการสิ่งเร้าเยอะ
มีการตอบสนองออกไปเร็ว
สนุกกับการปฏิสัมพันธ์เพื่อเติมพลัง

"ทุกพฤติกรรมล้วนมีที่มา
ความ introvert และ extrovert ก็เช่นกัน" 🙂

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้
สามารถรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ 
https://youtu.be/uTME4HM-40o

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข 

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2568

"ไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี" ในมิติทางจิตใจมีความหมายอย่างไร? และ ส่งผลกระทบอย่างไร? โดย พญ.ทานตะวัน

 



"ไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี"

ในมิติทางจิตใจมีความหมายอย่างไร

สิ่งที่เรามองไม่เห็น
อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่ามี...
หรือ ใจไม่ได้รับรู้...

แต่ในความจริง...มีอยู่

และ การไม่เห็น...
หลายครั้งส่งผลกระทบได้อย่างมาก

ในหลายด้านดังนี้

:) 1. ด้านอารมณ์และความรู้สึก
บางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวว่า
เรารู้สึกอย่างไร
เช่น ใจมีความเครียด/ความเศร้า/ความโกรธ
ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ
การไม่รู้ตัว
ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรู้สึกนั้นๆ

ผลกระทบ
เกิดภาวะเครียด/เศร้า/โกรธ/ความรู้สึกอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว
ทำให้ไม่สามารถดูแลจิตใจได้อย่างเหมาะสม

------------------------------

:) 2. ด้านศักยภาพ
คนบางคนอาจไม่เห็น
ความสามารถของตัวเองหรือของผู้อื่น
แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีศักยภาพนั้น

ผลกระทบ
ไม่เห็นศักยภาพตัวเอง --> ไม่เห็นคุณค่าตนเอง
ขาดความมั่นใจ
เกิดภาวะ low self-esteem ไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งที่เรามีดีกว่าที่เราเห็น

ไม่เห็นศักยภาพคนอื่น --> ไปด้อยค่า/ดูถูกแคลนคนอื่น
ทั้งๆที่เขามีดีกว่าที่เราเข้าใจ
ขาดความสามารถในการ "รู้เขา"
ประเมินคนอื่นผิดพลาดได้
เกิดภาวะ "มองคนไม่เป็น" ได้

-------------------------------

:) 3. ด้านความเป็นไปได้ในชีวิต หรือ สิ่งดีๆในชีวิต
บางครั้งเราไม่เห็น
ทางออกหรือโอกาสในชีวิต
หรือ สิ่งที่ดีในชีวิต
แต่จริงๆ มีอยู่
เพียงแค่เรายังไม่พบตอนนี้
หรือ
เรามองข้ามไป

ผลกระทบ
ทำให้ไม่เห็นคุณค่าชีวิตตนเอง
ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง
ไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งที่ความเป็นจริง...มีสิ่งดีๆอยู่

-----------------------------------
:) 4. ด้านการเห็นปัญหา

ปัญหาที่เราไม่เห็นหรือไม่รับรู้
ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง
บางปัญหาอาจหลบซ่อนอยู่
หรือ อาจถูกมองข้ามไป
หรือ พยายามที่จะไม่มองไม่เห็น
ที่เรียกว่า "ซุกไว้ใต้พรม"

ผลกระทบ
การละเลย หรือ การมองข้ามปัญหา...
สุดท้ายทำให้ปัญหานั้นรุนแรงกว่าเดิมได้
เพราะ ไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นๆ
จนสถานการณ์เลวร้ายบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆได้

------------------------------------
:) 5. ด้านการรับรู้ความจริงในชีวิต
โดยเฉพาะในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เช่น ความรัก ความเมตตา สัจธรรมชีวิต
และ อีกหลายสิ่งที่มีอยู่จริง
เพียงแต่ตอนนี้ เรายังไม่สามารถสัมผัสได้
ไม่ได้แปลว่าไม่มีจริง

ผลกระทบ
ขาดความสามารถในการเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
ทำให้ขาดวุฒิภาวะทางจิตใจได้

-----------------------------------
"แนวทางการดูแลจิตใจ"

<3 การฝึกเปิดใจ อย่าเร่งรีบตัดสิน จะช่วยให้ใจเรากว้างขวาง
และ เห็นสิ่งต่างๆได้ตรงกับความจริงมากขึ้น
<3 เพราะ การตัดสินเร็วมักเกิดจากอคติจากชุดความเชื่อดั้งเดิม
ซึ่งหลายครั้งไม่ตรงกับความจริง

😊"สิ่งที่เรารู้เพียงหยดน้ำ สิ่งที่(ยัง)ไม่รู้เปรียบดังมหาสมุทร"

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

------------------------
😀ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ สามารถรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ :)
https://youtu.be/RdS8BUijJJg




วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

ทำส่วนของตนเองให้ดีที่สุด ส่งผลดีกับชีวิตอย่างไร ? โดย พญ. ทานตะวัน

 



🥰"ทำส่วนของตนเองให้ดีที่สุด"🥰

"ทำส่วนของตนเองให้ดีที่สุด"

ลดภาวะทุกข์ฟรี
และ เพิ่มสิ่งดีๆให้ชีวิต

เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น?

----------------------------------
หลายอย่างในโลกนี้
มีเข้ามาให้ลำบากใจ ไม่สบายใจ

ในเรื่องราวความไม่สบายใจนี้
มีหลายสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้มากนัก
เช่น ความคิดคนอื่น
ความเชื่อคนอื่น
นิสัยใจคอคนอื่น
ทัศนคติคนอื่น
กิริยามารยาทคนอื่น
พฤติกรรมคนอื่น
หรือ
สิ่งที่เราทำมันลงไปแล้วในอดีต
เป็นต้น

ในหลายสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้มากนัก

มักมีบางสิ่ง...ที่เราพอทำได้อยู่บ้างในขณะนี้

การใส่ใจสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้
การลงมือทำมันให้ดีที่สุด
เท่าที่เราจะพึงทำได้

โดยนำสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้
เช่น มุมมองคนอื่น
เรื่องที่เคยทำไปแล้ว
ทั้งดีและไม่ค่อยดี
มาเป็นบทเรียนรู้

รวมถึงการรู้จ้กจุดแข็ง จุดอ่อนในตัวเอง

เหล่านี้จะช่วยให้เรา
ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ในตอนนี้

หมั่นฝึกให้อภัย ปล่อยวาง และ เรียนรู้
จากความผิดพลาดที่เราเคยทำ
และ
ความไม่โอเคของผู้คนที่มีต่อเรา

และ
ทุ่มเททำส่วนของตนเองให้ดีที่สุดในตอนนี้

คือ การออกแบบชีวิตตัวเองที่ดีที่สุด

โลก...ในส่วนที่เราพอทำอะไรได้
ย่อมสวยขึ้นได้...ด้วยมือเรา

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

-------------------------------------------
🙂 สามารถรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ 🙂
https://www.youtube.com/watch?v=hXEIen8LfNQ 

-----------------------
#BernnyLifeLessons

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

ดูแลใจในช่วงภัยพิบัติ ✅ 7 สิ่งที่ควรทำ และ ❌ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำ เพื่อจิตใจ และชีวิตที่ดีกว่า |พญ.ทานตะวัน

 



"การดูแลจิตใจในช่วงภัยพิบัติ"

✅ 7 สิ่งที่ควรทำ (Do)
และ
❌ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’t )

-------------------------
ช่วงเวลาภัยพิบัติ
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อร่างกาย และ จิตใจ
เพราะ เป็นช่วงเวลาที่สะเทือน และ สั่นคลอนถึง
ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย
ซึ่งเป็นอาหารใจหมู่ใหญ่ในจิตใจของมวลมนุษย์

✅ 7 สิ่งที่ควรทำ (Do)
และ
❌ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’t )

จะช่วยให้ใจรู้สึกสงบ และ มั่นคงมากขึ้น
นำมาสู่การดูแลตนเอง และ ชีวิต
ที่ดำเนินอยู่ตอนนี้ได้อย่างดีที่สุด

รายละเอียด
✅ 7 สิ่งที่ควรทำ (Do)
และ
❌ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’t )
มีอะไรบ้าง ดังนี้

--------------------------------
✅ 7 สิ่งที่ควรทำ (Do) ✅

✅1. ตั้งสติ เรียกความรู้สึกตัว
และ หายใจลึก ๆ ช้าๆ
เพื่อเพิ่มความรู้สึกที่มั่นคง
และ ใจสงบผ่อนคลายมากขึ้น
โดยใช้เทคนิค เช่น
- การหายใจเข้า-ออกช้า ๆ อย่างน้อย 3-5 รอบ
- การ Grounding โดยการสัมผัสร่างกาย การกอดตัวเอง หรือ การรับรู้เท้าที่กำลังสัมผัสพื้น เพื่อพาจิตใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ

การตั้งสติ
และ การรับรู้จิตใจและร่างกายในปัจจุบันขณะ
จะช่วยเพิ่มกำลังของจิตใจ และ สมอง
จะช่วยให้การตัดสินใจและการแก้ปัญหาต่างๆ
ทำได้ดีขึ้น
ที่เรียกว่าภาวะ "สติมา ปัญญาเกิด"

------------------------------

✅ 2. ยอมรับทุกความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในใจ

- รับรู้ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตามจริง
- เข้าใจทุกความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น
เช่น ความรู้สึกกลัว วิตกกังวล ตกใจ หรือ ช็อก
เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้

การยอมรับ และ เข้าใจ
ทุกความสึกที่เกิดขึ้นตามจริง
จะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานในใจลงได้

---------------------------------

✅ 3. พูดคุยและขอความช่วยเหลือ
- ติดต่อกับครอบครัว หรือ เพื่อน หรือ คนรัก
เพื่อแบ่งปันความรู้สึก
- ขอความช่วยเหลือ เมื่อต้องการ

ในสถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก
การได้แบ่งปันความรู้สึก
การขอความช่วยเหลือ
เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ดีขึ้น

-----------------------------------------

✅ 4. จำกัดการเสพข่าว
- เลือกติดตามข่าวจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
- กำหนดเวลาตรวจสอบข้อมูล
เพื่อลดความเครียดจากการดูข่าวซ้ำๆ โดยไม่จำเป็น

------------------------------------

✅ 5. ดูแลร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำ
- ทานอาหารที่ดี
- หลีกเลี่ยง สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ และ อื่นๆ

ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และ ไม่แน่นอน
สุขภาพร่างกายที่ดี
จะช่วยให้รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดีที่สุด

--------------------------------------

✅ 6. ช่วยเหลือผู้อื่นหากทำได้
- การช่วยเหลือตามกำลัง เช่น การให้กำลังใจกัน การรับฟังกัน การให้ความช่วยเหลือ การบริจาค
- ช่วยให้รู้สึกถึงคุณค่าในตนเอง
- ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
- ส่งเสริมพลังใจ และ พลังชีวิตในตนเองมากขึ้น

----------------------------------------

✅ 7. ***หากมีภาวะเครียดสูง***
แนะนำการพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ
เช่น จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา
หรือ หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือทางจิตใจ

"รวมรายชื่อ โรงพยาบาล และ คลินิกที่มีจิตแพทย์ทั่วประเทศ"
ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=2011213002316039&set=a.499791366791551&locale=th_TH

---------------------------------
❌ 6 สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’t)

❌ 1. การกดดัน การคาดหวังตัวเองให้ "เข้มแข็ง" ตลอดเวลา
เพราะ ความรู้สึกกลัวและ วิตกกังวล เป็นเรื่องปกติ
ควรให้เวลากับจิตใจตัวเองในการค่อยๆฟื้นตัว

----------------------------

❌ 2. ไม่ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวเองหรือของผู้อื่น
- ความรู้สึกเชิงลบต่างๆ เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
และ แต่ละคนอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันได้
- การไม่ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
จะยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมานใจมากยิ่งขึ้น
และ ส่งผลต่อการดูแลจิตใจได้
เพราะ ความเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามจริง
จะช่วยให้เกิดการดูแลจิตใจได้อย่างเหมาะสม

---------------------------------------

❌ 3. การแยกตัวจากผู้อื่น
แม้ว่าจะไม่ค่อยอยากพูดคุย
แต่การได้ติดต่อ ได้สื่อสารกับคนที่รู้สึกไว้ใจ
จะช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย และ อุ่นใจขึ้นได้

-----------------------------------------

❌ 4. การหมกมุ่น เสพข่าว หรือ ภาพเหตุการณ์ซ้ำ ๆ
เพราะ ทำให้เกิดภาวะเครียดสะสม
และกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวตลอดเวลา
โดยไม่จำเป็น

---------------------------------------

❌ 5. การใช้แอลกอฮอล์ หรือ สารเสพติดอื่นๆ
ในการจัดการความเครียด
รวมทั้งการแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสม
เช่น การเล่นพนัน การชอปปิ้ง การทำร้ายผู้อื่น เพื่อคลายเครียด
เพราะ จะยิ่งส่งผลให้สภาพจิตใจ และ ร่างกายแย่ลง
และ เพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรม
และ ปัญหาชีวิตที่ตามมามากขึ้น

------------------------------------

❌ 6. การละเลยต่อสัญญาณความเครียดรุนแรง
เช่น อาการตื่นตระหนก อาการนอนไม่หลับ รู้สึกสิ้นหวัง รู้สึกซึมเศร้า เป็นต้น
เมื่อพบว่าสภาพจิตใจอยู่ภาวะเครียดกว่าปกติ

ควรหาพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
หรือ ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ เช่น จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา

"รวมรายชื่อ โรงพยาบาล และ คลินิกที่มีจิตแพทย์ทั่วประเทศ"
ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=2011213002316039&set=a.499791366791551&locale=th_TH
-----------------------------------

<3 การดูแลจิตใจช่วงภัยพิบัติ
การตั้งสติ การมีความเข้าใจ
และ ความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น
จะช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างดีที่สุด เท่าที่เป็นได้ตามเหตุปัจจัย <3

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

-----------------------
:) ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ สามารถติดตามรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/JD0HxrZ5lqg
------------------------

#หมายเหตุ

ท่านใดต้องการพบปรึกษากับจิตแพทย์
สามารถดูรายละเอียด
"รวมรายชื่อ โรงพยาบาล และ คลินิกที่มีจิตแพทย์ทั่วประเทศ"
ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=2011213002316039&set=a.499791366791551&locale=th_TH