วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

Enneagram: ประชาสัมพันธ์คอร์สนพลักษณ์ขั้นเติบโต ตอน: คู่เรียนรู้ของคนแต่ละลักษณ์ โดย พญ. ทานตะวัน

 

 



🙂 ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ครับ🙂

✍️คอร์สนพลักษณ์ขั้นเติบโต ✍️
(Advanced Enneagram)
ตอน : คู่เรียนรู้ของคนแต่ละลักษณ์

❤ เพื่อการเข้าใจตัวท่าน และเงาในตัวท่าน
ในระดับลึก
ผ่านการเข้าใจคู่เรียนรู้ของลักษณ์ท่าน

❤ การจัดกิจกรรม
จัดในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม - อาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568
เวลา 9.00-17.30 น.
ณ Abloom Exclusive Serviced Apartments
(ใกล้ BTS สนามเป้า)

-----------------------------------

❤ โดยทีมวิทยากรเชี่ยวชาญศาสตร์นพลักษณ์มามากกว่า 20 ปี

🙂 1. อ.เมธี จันทรา
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนภูมินพลักษณ์ และ Enneatype to Enneagram
และ ศาสตร์ด้านดนตรีนพลักษณ์เพื่อการเข้าใจตนเอง และผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง
หนึ่งเดียวในประเทศไทย

🙂 2. อ. กาญจณาพร มีใหญ่ เพอร์คินส์
ด้านแผนภูมินพลักษณ์ และ Enneatype to Enneagram
และ ศาสตร์ด้านการใช้ศิลปะ และ การเคลื่อนไหวร่างกาย
เพื่อการรู้จักตัวเอง และ การเติบโต

🙂 3. ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล
จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์นพลักษณ์
และ แนวทางการพัฒนาจิตใจเพื่อให้มีความสุขมากขึ้น
(เจ้าของเพจ FB และ Youtube ยิ่งโตยิ่งสุข)

🙂 และ ผู้ช่วยวิทยากร
คุณทศวรรษ สุรเดชาสกุล

---------------------------

❤ สิ่งที่ท่านจะได้รับจากคอร์สนี้
1. รู้จักและเข้าใจเรื่องคู่เรียนรู้ของคนแต่ละลักษณ์
เพื่อการเข้าใจตนเองในระดับลึก
และ การเข้าถึงแนวทางการเติบโตผ่านลักษณ์ที่เป็นคู่เรียนรู้

2. รู้จักและ เข้าใจแผนภูมิ enneagram และ กฏของตัวเลขในแผนภาพ
กับ Enneatype to Enneagram
เพื่อการปลดล้อค และ คลี่คลายออกจากเป็นลักษณ์

----------------------------------

🙂 ค่าลงทะเบียนท่านละ 6,200 บาท
พิเศษ : สมัครก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568
หรือ สมัครพร้อมกันตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป
ลดเหลือท่านละ 5,900 บาท

❤ รวมอาหารกลางวัน(บุฟเฟ่ต์)+อาหารว่าง
และ
❤ หนังสือนพลักษณ์ 1 เล่ม

-------------------------------------

สนใจสอบถามรายละเอียดได้ทาง
LINE OFFICIAL : @504jcald
หรือ เข้าทางลิงค์นี้ครับ
https://lin.ee/Pfw3uGo

-------------------------------------

หมายเหตุ :
✍️ คอร์สนี้เหมาะสมสำหรับผู้ที่ทราบลักษณ์ของตนเองแล้วครับ ✍️

ขอบคุณครับ
#Admin
---------------------------

#ไม่มีลักษณ์ไหนดีกว่าลักษณ์ไหน
#ทุกลักษณ์ดีหมดเมื่อเติบโต

#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

#Enneagram
#เอ็นเนียแกรม
#นพลักษณ์

-----------------------------------
❤ ท่านใดสนใจสามารถรับฟังรายละเอียดคอร์สนี้
ได้ทางลิงค์นี้ครับ
https://youtu.be/SJkQ_X5NO_I

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

7 ลักษณะภาวะผู้นำที่มีสติ "Mindful Leadership" โดย พญ.ทานตะวัน

 



7 ลักษณะภาวะผู้นำที่มีสติ
"Mindful Leadership" :)

คือ ภาวะผู้นำ
ที่มีการตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะ (Present Moment Awareness)
ที่มีสติรู้อยู่กับการกระทำและการตัดสินใจของตนเอง (Self-Awareness)

ซึ่งนำมาสู่ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)
และ
การเข้าใจในตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง

-----------------------------------------
7 ลักษณะภาวะผู้นำที่มีสติ :)

ผู้นำที่มีลักษณะ Mindful Leadership
มีคุณสมบัติหลัก ๆ ดังนี้

:) 1. ตระหนักรู้และมีสติ
(Self-Awareness and Mindfulness)

- ผู้นำจะฝึกฝนการมีสติ
มีความรู้ตัวเองในปัจจุบันขณะ
ทั้งขณะที่ทำงาน
และ ขณะกำลังสื่อสารกับทีม

การอยู่กับปัจจุบัน
โดยการรับรู้
ความคิด
ความรู้สึก
ความต้องการ
และ การกระทำของตนเอง
ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ

จะทำให้ผู้นำสามารถรับรู้
และจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ
ได้อย่างละเอียดอ่อน
มีสมาธิและสามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม

- การตระหนักรู้ในตนเอง
จะช่วยให้ผู้นำสามารถ
รับมือกับอารมณ์และปฏิกิริยาของตนได้ดี
ลดความตึงเครียดในสถานการณ์ต่าง ๆ
และ
ไม่ตัดสินจากอารมณ์ชั่ววูบ

---------------------------------------

:) 2. การฟังอย่างลึกซึ้ง
(Deep Listening)

- ผู้นำที่มีสติ
จะรับฟังคนอื่นอย่างจริงจังและตั้งใจ
เป็นการฟังที่ใส่ใจ
ไม่เพียงแค่รับฟังคำพูด
แต่ยังเข้าใจในความรู้สึก
และมุมมองของคนในทีมด้วย

- การฟังอย่างลึกซึ้งนี้
จะสร้างความไว้วางใจ
และความสัมพันธ์ที่ดีในทีม
เพราะสมาชิกจะรู้สึกว่า
ความคิดเห็นของตนได้รับการเคารพ

------------------------------------------

:) 3. มีความเมตตาและความเข้าใจ
(Compassion and Empathy)

- Mindful Leader จะเป็นผู้นำ
ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์
เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
และเห็นอกเห็นใจ
ต่อสถานการณ์หรือความต้องการของทีม

- ความเมตตาและความเข้าใจ
ช่วยให้ผู้นำ
สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก
ให้ความช่วยเหลือ และ สนับสนุน
การเติบโตของสมาชิกในทีม

------------------------------------------

:) 4. การตัดสินใจอย่างรอบคอบ

- ผู้นำที่มีสติจะไม่ตัดสินใจอย่างผลีผลาม
แต่จะใช้เวลาไตร่ตรองพิจารณาอย่างรอบคอบ
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การตัดสินใจ
จะมีการพิจารณาความรู้สึกของคนในทีมด้วย

- การตัดสินใจที่รอบคอบนี้
จะช่วยลดข้อผิดพลาด
และ
เพิ่มความมั่นใจในความถูกต้องของทางเลือกที่เลือกมา

---------------------------------------

:) 5. การบริหารความเครียด (Stress Management)

- Mindful Leader
สามารถจัดการกับความเครียดได้ดี
เพราะมีสติรู้ตัวเองอยู่บ่อยๆ
จึงสามารถปล่อยวางจากความเครียด
ได้ไวขึ้น
เพราะ หลายครั้งความเครียด
มาจากความคิดมากไป
หรือ อารมณ์ที่ครอบงำใจ
การมีสติ
จะช่วยให้ใจ
เป็นอิสระจากความคิด และ อารมณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น

ซึ่งจะช่วยให้ใจ
กลับมาโฟกัสที่การแก้ปัญหา
หรือ การพัฒนาตนเอง
ในส่วนที่เราควบคุมได้จัดการได้
และ ลดการไปวนในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้

- ผู้นำสามารถเป็นตัวอย่างที่ดี
ในการจัดการกับความเครียดให้กับทีม
ทำให้บรรยากาศในที่ทำงาน
มีความสงบและลดความตึงเครียดได้

------------------------------------

:) 6. การส่งเสริมการพัฒนาตนเองและทีม

- ผู้นำที่มีสติ
จะสนับสนุนให้คนในทีมเติบโตอย่างสมดุล
ทั้งในด้านทักษะ ความคิด และการพัฒนาตนเองด้านใน

- ผู้นำจะมองเห็นถึงความสำคัญของการสร้างแรงบันดาลใจ
และสนับสนุนให้สมาชิกในทีม
กล้าที่จะเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ

-------------------------------------

:) 7. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและเป็นมิตร

- การเป็นผู้นำอย่างมีสติ
ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงาน
ที่เน้นความสงบ ความไว้วางใจ
และความสัมพันธ์ที่ดี

- ทีมที่ทำงานร่วมกับผู้นำที่มีสติ (Mindful Leader)
จะรู้สึกปลอดภัย มีกำลังใจ
และ
พร้อมที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมทำงานปรารถนา :)

--------------------------------------

<3 ภาวะผู้นำที่มีสติ (Mindful Leadership)
จะสร้างความสมดุล
ระหว่างการสร้างผลลัพธ์ที่ดี
และ
การดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกในทีม

ดังนั้น ผู้นำที่มีสติ
นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเป็นผู้นำแล้ว
ยังส่งผลให้ทีมมีประสิทธิภาพ
และ
มีความสุขในการทำงานมากขึ้น :)

บทความ ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

-----------------------------------
:) ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้
สามารถรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/CnYi8V_wOMY

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2568

"สภาวะเสียเซลฟ์" ในคนลักษณ์ 6 นักปุจฉา เข้าใจที่มา และ แนวทางฮีลใจ โดย พญ.ทานตะวัน

 

 

"สภาวะเสียเซลฟ์" ในคนลักษณ์ 6 นักปุจฉา

สภาวะเสียเซลฟ์
เป็นสภาวะชั่วคราว

แต่สั่นคลอนจิตใจได้อย่างมาก

การเข้าใจที่มา และ แนวทางฮีลใจที่เหมาะสม

จะช่วยให้รับมือกับสภาวะนี้ได้อย่าง healthy
ที่ดีต่อใจ และ ชีวิต 🙂

ท่านใดสนใจสามารถติดตามรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/O2HLUPl-XHE

#enneagram
#นพลักษณ์
#ยิ่งโตยิ่งสุข


สภาวะเสียเซลฟ์ "ลักษณ์ 6 นักปุจฉา" เข้าใจที่มา และ แนวทางฮีลใจ

 

 

สภาวะเสียเซลฟ์ "ลักษณ์ 6 นักปุจฉา"

สภาวะเสียเซลฟ์
เป็นสภาวะชั่วคราว
แต่สั่นคลอนจิตใจได้อย่างมาก

<3 การเข้าใจที่มา และ แนวทางฮีลใจที่เหมาะสม

จะช่วยให้รับมือกับสภาวะนี้ได้อย่าง healthy
ที่ดีต่อใจ และ ชีวิต :)

#อาการเสียทรงจากสภาวะเสียเซลฟ์
ที่่พบได้บ่อยๆ

- มีอาการหวาดระแวง ไม่ไว้ใจใครมากผิดปกติ
- มีอาการวิตกกังวลมากเกินไป
- เสาะหา คอยหาความมั่นคงจากภายนอกเป็นอย่างมาก
- สงสัยในตัวเอง ไม่ไว้วางใจตัวเองอย่างชัดเจน
- ต้องการคำยืนยันจากคนอื่น เพื่อเสริมความมั่นใจอย่างมาก
- มีความคิดมาก...จนไม่กล้าตัดสินใจ จนไม่กล้าลงมือทำอะไร
- มีอาการคิดแผนสำรองตลอดเวลา จนหมกมุุ่น
----------------------------

#ที่มาของสภาวะเสียเซลฟ์
ที่พบได้บ่อยๆ

- สั่นคลอนความศรัทธาในตนเอง
- จากการที่ลักษณ์ 6 ไม่ค่อยมีศรัทธาในตนเอง
- จากความสงสัย (doubt) ในตนเอง ผู้คน และ โลก
จนเห็นแต่ด้านลบ ด้านที่เป็นปัญหาในตนเอง ผู้คน และ โลก
- จากความกลัว กังวล ว่าจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกนี้ ทั้งทางกายและทางใจ
- จากความคิดมากในแง่ลบกับตนเอง และ ผู้คน โดยเชื่อว่าคนอื่นจะมองตนเองไม่ดี เหมือนที่เรามองตนเอง
- จากขาดความรู้สึกมั่นคงจากภายใน
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบความเชื่อมั่นในคุณค่า/ ศักยภาพในตัวเอง และ การอยู่รอดในโลกใบนี้
เช่น การถูกทำร้าย ถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธ เป็นต้น
จะเกิดสภาวะเสียเซลฟ์ได้

-----------------------------------------

#แนวทางการฮีลใจ

:) 1. เรียกศรัทธาในตนเอง (by ตนเอง)

ฝึกฝนการกลับมาศรัทธาในตนเอง
ด้วยแนวทางที่ healthy ดังนี้
เช่น การกลับมา gratitude (ขอบคุณ) ตนเองในทุกวัน
เพื่อเชื่อมโยงกับพลังชีวิตในตนเอง

:) 2. ฝึกกลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง เช่น การกลับเห็นข้อดีของตนเองตามที่เป็น
และ ฝึกยอมรับจุดอ่อนในตัวเองตามที่เป็น
การฝึกเห็นจุดแข็ง จุดอ่อนในตนเองตามที่เป็น เรื่อยๆ บ่อยๆ
จะนำมาสู่การยอมรับตนเองอย่างแท้จริง
ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร

:) 3. ฝึกเผชิญกับสิ่งที่กลัว ฝึกเผชิญอุปสรรคปัญหา ฝึกเผชิญกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียเซลฟอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยท่าทีที่เปิดรับ ยอมรับ และ เรียนรู้
ในตัวเอง
ในสิ่งเกิดขึ้น
และ ในโลกใบนี้ตามที่เป็น
โดยไม่หนี ไม่ผลักไส ไม่อคติ

จะช่วยให้จิตใจแข็งแรง มีกำลังมากขึ้น เป็นลำดับ
จากใจที่มีความกล้าหาญ มีความมั่นคง และ มีความฉลาดด้วยปัญญาทางใจที่เติบโต

:) 4. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน
ฝึกสติรับรู้ร่างกาย และ จิตใจในปัจจุบัน
ด้วยการพาใจกลับมา
รับรู้ร่างกายในปัจจุบันขณะ
เช่น
รับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนต่างๆ รับรู้ลมหายใจเข้า-ออกช้าๆ
รับรู้ความคิด
แทนการจมและวนไปกับโลกความคิดที่มักจะปรุงแต่งไปด้านลบๆ
โดยไม่รู้ตัว
เช่น ฉันแย่ ฉันไม่ดี ฉันไม่ได้เรื่อง
หรือ มองคนอื่นแย่ คนอื่นไม่ดี
มองว่าคนอื่นคิดไม่ดีกับเรา คนอื่นไม่โอเคกับเรา คนอื่นสงสัยในเรา คนอื่นจะทำร้ายเรา เป็นต้น

หมั่นรู้ตัว มีสติว่า เหล่านี้ เกิดจากงานมโนในสมอง

เราไม่ต้องเชื่อ ทุกความคิดในสมอง
การเชื่อทุกความคิดในสมอง
จะพาเราแย่ลงได้
จะพาเราหลุดออกจากความจริงได้
จะพาให้ทำลายความสัมพันธ์ได้
ฯลฯ

แต่การหมั่นฝึกฝนรู้เท่าทันความคิดที่เกิดขึ้นในสมอง
จะมีประโยชน์กับชีวิต และ จิตใจอย่างมาก

เพราะ หลายครั้ง ความเสียเซลฟ์จนจิตตก
มาจากความคิด...มากไปเอง

:) 5. ทำกิจรรมที่ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายที่ดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ
เช่น การออกกำลังกาย การเล่นโยคะ การฟังเพลง การฟังธรรม การฟังบทความที่ดีต่อใจ การพูดคุยที่ดีต่อใจ เป็นต้น

:) 6. ทำกิจกรรมที่ตนเองรัก และ มีความสามารถ
เพื่อให้ใจเห็นว่าเรามีความสามารถ
และ เป็นการเติมอาหารใจให้ใจตนเอง
ด้วยตนเอง

เป็นการเรียกศรัทธาในตนเองกลับมา

จะช่วยให้ใจเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง
แบบไม่ต้องรอคนอื่นมายืนยัน หรือ รับประกัน
เมื่อไหร่ที่ได้ทำสิ่งที่ตนรัก ตนชอบ
ใจจะเกิดความเบิกบาน
และ ความสามารถที่ซ่อนอยู่จะเปล่งประกายออกมา
จะช่วยให้ชาวลักษณ์ 6 กลับมาเห็นคุณค่าในตัวเราอย่างที่เป็น

ในจังหวะที่ชาวลักษณ์ 6 เห็นคุณค่าในตนเอง
จังหวะนั้นความรู้สึกสงสัย doubt ในตัวเอง จะหมดไป

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

#enneagram
#นพลักษณ์

----------------------
เครดิตภาพน้องแมวนักปุจฉา😊
: https://web.facebook.com/EnneagramHipster

------------------------------
<3 ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ สามารถรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/O2HLUPl-XHE

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

7 ทัศนคติพื้นฐานของ "การฝึกเจริญสติ" เพื่อสุขภาพใจที่ดีในแต่ละวัน โดย พญ.ทานตะวัน

 



7 ทัศนคติ พื้นฐานของ "การฝึกเจริญสติ"

(7 attitudes of mindfulness)

จากหนังสือ Full Catastrophe Living (1990)
โดย Prof. Jon Kabat-Zinn

7 ทัศนคตินี้
จะช่วยให้เกิดความเข้าใจ
ถึงแนวทางการฝึกใจ
ให้มีสติ
เพื่อสุขภาพใจที่ดีในแต่ละวัน

รายละเอียดมีดังนี้ค่ะ :)

<3 ทัศนคติที่ 1 การฝึกไม่ตัดสิน (Non-judging)
: การฝึกไม่ตัดสิน หมายถึง
การฝึกสังเกต ความคิด และ ประสบการณ์ภายในที่เกิดขึ้นในใจเรา
ในแบบที่มันเป็น
โดยฝึก ไม่ไปติดป้าย หรือ ไปให้คุณค่าด้านลบหรือบวก
จะช่วยให้ใจฝึกเปิดรับ สิ่งที่เกิดขึ้น
โดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่โจมตีทันที หรือ ไม่อวย

แต่ธรรมชาติของใจ
มักตัดสินขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

การฝึกเท่าทัน "การตัดสิน" ที่เกิดขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิด สภาวะ "ไม่ตัดสิน" Non-judging ได้มากขึ้น

<3 ทัศนคติที่ 2 ความอดทน (Patience)
: การฝึกความอดทน หมายถึง
การฝึกยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยไม่รีบร้อน หรือ พยายามผลักดันให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น
จะช่วยให้ใจเย็นขึ้น
และ สามารถรับมือกับความท้าทาย หรือ ปัญหาได้อย่างมีสติง่ายขึ้น

<3 ทัศนคติที่ 3 ฝึกจิตผู้เริ่มต้น (Beginner’s mind)
: คือ การฝึกใจเข้าถึงทุกช่วงเวลา
ด้วยความสงสัย ใฝ่เรียนรู้
และ ด้วยความเปิดใจ
ว่ากำลังมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก
จะช่วยส่งเสริม
การเกิดความเข้าใจในตนเองที่ลึกซึ้งขึ้น

<3 ทัศนคติที่ 4 ความเชื่อมั่น (Trust)
: หมายถึง การเชื่อมั่นในปัญญาภายใน และ ความดีงามของชีวิต
ช่วยให้เราปล่อยวาง การพยายามควบคุมสิ่งต่างๆให้ได้ดั่งใจเรา
และ
ช่วยให้อยู่กับปัจจุบันได้อย่างรู้สึกมั่นคงจากภายในมากขึ้น

<3 ทัศนคติที่ 5 ไม่เร่งเร้า (Non-striving)
: หมายถึง
การไม่เร่งเร้า โดยฝึกการอยู่กับปัจจุบัน
แบบไม่มุ่งหวังผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง
และ
ฝึกให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์

<3 ทัศนคติที่ 6 การยอมรับ (Acceptance)
: หมายถึง การยอมรับ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
ที่เกิดขึันแล้ว ในใจ หรือ ในกาย อย่างที่เป็น
ทั้งในด้านบวก ด้านลบ
ทั้งด้านที่รู้สึกดี ด้านที่รู้สึกไม่ดี
ทั้งด้านที่รู้สึกชอบ ด้านที่รู้สึกไม่ชอบ
การฝึกเปิดใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างมันเป็น
จะช่วยให้ใจเกิดความเมตตาต่อตนเอง ได้มากขึ้น
รวมถึงช่วยส่งเสริมความสงบในจิตใจได้ง่ายขึ้น

เพราะ หลายครั้ง
การที่ใจปั่นปวน มาจากการพยามยามผลักไส ความคิด ความรู้สึก ที่ใจไม่ชอบออกไป

ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
เราจึงควบคุมบังคับไม่ให้มีไม่ได้

เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
การเปิดใจ ยอมรับการมีอยู่ของสิ่งนี้ ในใจ หรือ ในกายอย่างที่เป็น
จะช่วยให้สามารถรับมือ กับความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
ได้ดีกว่าการพยายามผลักไส

<3 ทัศนคติที่ 7 การฝึกปล่อยวาง (Letting go)
: การฝึกปล่อยวาง หมายถึง
การฝึกไม่ไปยึดติดกับความคิด หรือ ประสบการณ์ภายในต่างๆ ที่เกิดขึ้น

การปล่อยให้มันมา
และ ให้มันผ่านไป
ตามเหตุปัจจัย
จะช่วยให้ใจรู้สึกเบาใจ
และ ใจมีความสงบง่ายขึ้น

และ โดยความเป็นจริง
ธรรมชาติ
ของความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ
มันจะมีลักษณะ
"มา และ ไป"
"มา และ ไป".....

การฝึกฝนเห็นธรรมชาตินี้บ่อยๆ
จะช่วยให้ใจไม่ไปถือสา หรือ ไปยึดติด
กับ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
ที่ปรากฏขึ้นเป็นขณะ ๆ

#ผลของใจที่หมั่นฝึกสติ

:) การทำความเข้าใจ
และการหมั่นฝึกฝนทัศนคติเหล่านี้
จะช่วยส่งเสริม "การเจริญสติของใจ" (mindfulness)
ซึ่งจะนำมาสู่
การอยู่กับปัจจุบันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
รวมถึงการมีสภาวะความเมตตาต่อตนเองได้ง่ายขึ้น

ซึ่งจะส่งผลให้ใจมีสุุขภาพดีขึ้น
จากความทุกข์ที่ค่อยๆ ลดลงไป
ในแต่ละขณะ :)

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

---------------------------
🙂 ท่านใดสนใจติดตามรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/DkrIhDocm-A

---------------------------------

#หมายเหตุ
และ ได้รับองค์ความรู้
"7 attitudes of mindfulness"
จากหนังสือ Full Catastrophe Living (1990)
โดย Prof. Jon Kabat-Zinn

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วิเคราะห์พฤติกรรมผู้เล่น “Squid Game" กับ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ซิกมันด์ ฟรอยด์ โดย พญ. ทานตะวัน

 



"ทฤษฎีจิตวิเคราะห์

กับ กระบวนการทางจิตใจของผู้เล่นเกม Squid game"

ทุกพฤติกรรมล้วนมีที่มา
(psychic determinism)

พฤติกรรมที่ดีสุดขั้ว
หรือ ชั่วสุดขีด ก็เช่นกัน

------------------------------------------
ในบทความนี้จะนำโครงสร้างทางจิตใจ
จากทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ซึ่งพัฒนาโดย ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)

มาอธิบายพฤติกรรมของผู้เล่นในเกม "Squid game"

Theme ของ
Squid Game ในทั้ง 2 ซีซั่น
เป็นการเล่นเกม
ที่มีลักษณะ
"เล่น-ลุ้น-ตาย" สมชื่อ

จึงเป็นเกมที่มีความโหด สะเทือนใจ สยองขวัญ

เพราะ ถ้าเล่นแพ้ = ตายจริง
และ
ผู้ชนะ มีโอกาสได้รับเงินรางวัลสูงสุด
ถึง 4.56 หมื่นล้านวอน
หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท

ด้วยเงินรางวัลที่สูงมาก
ประกอบกับผู้เล่น
อยู่ในวิกฤติด้านการเงินอย่างรุนแรง
(ชนิดที่ ความเป็น-ตาย อาจเท่ากัน
ระหว่างการอยู่ในเกม กับ การออกไปใช้ชีวิต)
ความต้องการเงิน
จึงทวีความแสนสาหัสมากกว่าปกติ

จึงเป็นจุดล่อให้ผู้คนยอมเข้าร่วมเล่นเกม
ทั้งที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

และ เกมนี้
เพิ่มความสยอง

ด้วยการกระตุ้น
สัญชาตญาณดิบของผู้เล่น
ในกระบวนการของเกม
และ
ในกระบวนการระหว่างเกม
มีการออกแบบ
มีการวางหมาก
มีการวางกับดัก
ที่กระตุ้นความกระหายชัยชนะ
กระตุ้นความขัดแย้งในจิตใจ
กระตุ้นความขัดแย้งระหว่างผู้เล่น
แบบไม่หยุด ไม่หย่อนกันเลยทีเดียว

พฤติกรรมความโหดเหี้ยม
จากส่วนสัญชาตญาณดั้งเดิม
จึงถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างทวีคูณ

-------------------------------------------
#ทฤษฎีโครงสร้างทางจิตใจ

:) โครงสร้างทางจิตใจ
จากทฤษฎีจิตวิเคราะห์
กับ พฤติกรรมการเล่นเกม

แนวคิดนี้อธิบาย
แรงขับเคลื่อนในใจของตัวละคร

ซึ่งแสดงออก
ผ่านพฤติกรรม และ การตัดสินใจ
ที่อาจจะดีสุดขั้ว
หรือ อาจจะชั่วสุดขีด

ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันอย่างหนักหน่วง
ที่มีเกมชีวิตเป็นเดิมพัน

ทฤษฎีโครงสร้างจิตใจนี้
ประกอบด้วย Id, Ego, Superego

ซึ่งในทุกคนจะมี 3 ส่วนนี้

แต่การแสดงออกมา
ของแต่ละคน
จะไม่เท่ากัน
ตามระดับการพัฒนาทางจิตใจ
ตามระดับวุฒิภาวะทางจิตใจ
ตามระดับคุณธรรม ศีลธรรม
ซึ่งเป็นพื้นฐานทางจิตใจ
ที่มีในแต่ละคนไม่เหมือนกัน

:) 1. Id
คือ เปฺ็นส่วนที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณดิบ
อยู่ในส่วนจิตไร้สำนึก
ประกอบด้วยแรงขับทางเพศ (libidinal drive)
และ แรงขับทางความก้าวร้าว (aggressive drive)

เพื่อการอยู่รอด
เพื่อการเอาตัวรอด
และ
เพื่อต้องการความสุข
ได้เสพสิ่งที่ตนปรารถนา
ได้ทำอะไรตามความพึงพอใจ
แบบชนิดที่ต้องได้ดั่งใจเท่านั้น
แบบชนิดที่ต้องได้ตอนนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
(pleasure principle)
ซึ่งนำมาสู่ความอยาก...และ พฤติกรรม...
ที่จะเอาสิ่งที่ต้องการให้ได้
โดยไม่สนใจวิธีการว่าสร้างปัญหาอะไรหรือไม่
โดยไม่สนผลกระทบใดๆ ที่จะตามมา
โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนบ้าง

ตัวอย่างพฤติกรรม Id
ใน Squid Game
คือ พฤติกรรมที่มุ่งแต่การเอาตัวรอด
พฤติกรรมที่หาผลประโยชน์
หรือ เอาให้ได้ตามสิ่งที่ตนต้องการ
โดย ไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ กับผู้อื่นๆ
เช่น การทำร้ายผู้อื่น
การหักหลัง
การทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
เพื่อให้ตนเองอยู่รอด
เพื่อให้ตนเองได้ตามความต้องการ
เพื่อให้ตนเองได้ชัยชนะ
เพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์
แม้คนอื่นจะย่อยยับก็ตาม

เป็นต้น

:) 2. Ego
Ego คือ ตัวกลาง
ที่พยายามจัดสมดุลระหว่าง Id กับ Superego
และ กับความเป็นจริง สิ่งแวดล้อมรอบตัว
โดยผ่านกระบวนการคิด วิเครราะห์
(secondary process)
และ อิงเหตุและผลตามความเป็นจริง
(reality principle)

ตัวอย่างพฤติกรรม Ego
ใน Squid game
คือ
พฤติกรรมที่ผู้เล่นมีการ
พยายามวางแผน
พยายามใช้เหตุผล
พยายามปรับตัว
เพื่อทั้งรักษาชีวิต
พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น หรือ
การพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง/การทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ล้มตาย โดยไม่จำเป็น
เช่น การพยายามหาความร่วมมือกับผู้อื่น
หรือ การพยายามอดทน
การพยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะ การปะทะกัน
เพื่อให้รอดไปด้วยกัน ในสถานการณ์นี้
เป็นต้น

:) 3. Superego
ส่วนนี้เป็นตัวแทนของ
คุณธรรม ศีลธรรม (conscience)
และ ภาพลักษณ์ตามมาตรฐานทางสังคม (ego ideal)

พฤติกรรมที่แสดงออกของ superego
ใน Squid game
คือ
พฤติกรรมที่มีความเห็นอกเห็นใจ
มีคุณธรรม
พฤติกรรมยึดถือความถูกต้อง
แม้ต้องเสี่ยงชีวิตตนเอง
เช่น การยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
หรือ การไม่ยอมทำผิดศีลธรรม
เพื่อแลกกับการอยู่รอด/ได้ตามความปรารถนาของตนเอง
เป็นต้น

ซึ่งส่วน superego
อาศัยการพัฒนาทางจิตใจระยะ oedipal (อายุ 3-5 ปี)
ซึ่งบางคนมีปัญหาในการพัฒนาในระยะนี้
จึงมีความบกพร่องในส่วน superego

นำมาสู่พฤติกรรมที่ไร้ศีลธรรมได้
--------------------------------
#ตัวอย่างพฤติกรรม
ตัวอย่างพฤติกรรมของ
id Ego Superego
ใน Squid Game

:) 1. Id
พฤติกรรมตัวละครที่ขับเคลื่อนด้วย Id เป็นหลัก
เช่น
ผู้เล่นที่มีพฤติกรรมโหดร้าย ทารุณ
ทำเรื่องผิดศีลธรรม
ฆ่าผู้อื่นอย่างไร้ความปรานี
เพื่อเพิ่มโอกาสรอดของตนเอง
หรือ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ
โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน หรือ ขีวิตของผู้อื่น

ใน squid game ซึ่งเป็นเกมที่กดดัน
ระหว่างความเป็น-ความตายใกลักันนิดเดียว
สถานการณ์ลักษณะนี้ โดยธรรมชาติ
จะกระตุ้นให้แรงขับเคลื่อนของ Id
ซึ่งเป็นสัญชาตญาณดิบ
(หรือ คนทั่วไป มักเรียกว่าด้านมืด)
ออกมาได้อย่างมากมาย

เพราะ สิ่งมีชีวิต
ในระดับสัญชาตญาณล้วนพยายามดิ้นรนเอาตัวให้รอด

:) 2. Ego
พฤติกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย Ego
เช่น ตัวเอกของเรื่องที่ต้องปรับตัว
พยายามไม่ทำร้ายคนอืน แม้จะถูกยั่วยุให้รู้สึกโกรธ
และ พยายามหาทางอยู่รอดในเกม ที่กดดัน
โดยการพยายามใช้การวางแผน
การสร้างพันธมิตร
การหาโอกาสที่จะรอดไปด้วยกัน
เป็นต้น

พฤติกรรมส่วนนี้
คือ ความพยายามสมดุล
ระหว่างแรงขับดันสัญชาตญาณดิบจาก Id
แรงขับเคลื่อนทางคุณธรรม ศีลธรรมจาก Superego
และ กับสภาพแวดล้อม สถานการณ์รอบตัว

:) 3. Superego
พฤติกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย Superego
เช่น ตัวละครที่ยอมเสียสละตนเอง เพื่อผู้อื่น
หรือ
พฤติกรรมพยายามช่วยเหลือผู้อื่น
แม้จะนำมาซึ่งความเดือดร้อน/ความสูญเสีย
ให้กับตนเองก็ตาม

พฤติกรรมนี้ คือ
การพยายามดำรงสิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งที่เป็นอุดมคติ
สิ่งที่เป็นคุณธรรม ความดี
แม้จะอยู่ในสถานการณ์โหดร้ายที่สุดก็ตาม

-----------------------------------
#บทส่งท้าย
ในสถานการณ์ที่โหดร้ายขนาดนี้

คำถามสำคัญ และ ท้าทาย
ต่อการเข้าใจ 3 ส่วน (id, ego, superego)
ในจิตใจตนเอง
คือ
"คุณจะทำอย่างไร
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นขนาดนี้?"

และ เกมชีวิตจริง
ที่หลายครั้งกดดันจิตใจมากมาย
3 ส่วน (id, ego, superego) นี้
ในจิตใจ
แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างไรบ้าง?

#การเติบโตทางจิตวิญญาณ
ในแง่การเติบโตทางจิตใจ
สิ่งสำคัญที่สุด
ไม่ใช่การปฏิเสธส่วนใดส่วนหนึ่ง

แต่คือการมีสติ
รับรู้
เท่าทัน
3 ส่วนนี้ (id, ego, superego)
ที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจ

คือ ช่วงเวลาที่ใจกลับมาสมดุลอย่างแท้จริง

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

-------------------------------------------
:) ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้
สามารถรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ :)
https://www.youtube.com/watch?v=ACcDJMp9i8k