วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567

รู้จัก เข้าใจ กลไกทางจิตใจ ช่วงเวลาที่งานยุ่งสุดๆ มีประโยชน์ต่อจิตใจอย่างไร ? โดย พญ.ทานตะวัน

 

 

ข้อดีหนึ่ง
ของงานเยอะและยุ่ง(สุดๆ)
คือ
"ไม่มีเวลาให้คิดมาก" จนทุกข์ใจ

----------------------------------

#ในแง่ของกลไกทางจิตใจเพราะอะไร

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่งานเยอะและยุ่งจนถึงขีดสุด(สุดๆๆ)
ใจจะไม่สามารถครีเอทดราม่าอะไรออกมาได้เลย
เนื่องจากไม่มีเวลาคิดมากแล้ว
เพราะต้องเอาเวลาทุกขณะ เอาจิตใจทุกขณะมาอยู่กับงานตลอดเวลา

ใจจะเข้าสู่ภาวะสมาธิจากการจดจ่อกับงานต่อเนื่อง
ใจเกิดความเป็นกลางขึ้น ณ ขณะนั้น
เพราะ ความคิดปรุงแต่งอย่างอื่นๆ ลดลง
(จากการไม่มีเวลาให้ใจไปปรุงแต่งเรื่องอื่นๆ)

ใจจึงได้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะนั้น 😃
ความทุกข์ใจจึงลดลง

ขณะที่ช่วงเวลางานเยอะระดับหนึ่ง
แต่ใจจะยัง "มีช่วงเวลาคิดมาก" ได้
ใจจึงยังมีเวลาครีเอทดราม่าขึ้นในใจมากมาย
เช่น
ความไม่พึงพอใจในชีวิต
ไม่พึงพอใจในงาน
ไม่พึงพอใจในคน
ไม่พึงพอใจในตัวเอง
ภาวะนี้ คือ โทสะเกิดขึ้นในใจ
จึงเป็นช่วงที่ทุกข์ได้มาก

------------------------------------------------
ในความยุ่งมากๆ
หลายครั้งกลับช่วยให้ทุกข์น้อยกว่า
ช่วงที่ว่างๆ กว่า
เพราะ ไม่มีเวลาให้คิดฟุ้งซ่าน

#ความคิดฟุ้งซ่านก่อเกิดความทุกข์

--------------------------------------------------
#ในสถานการณ์ปกติควรดูแลใจอย่างไร

ในสถานการณ์ปกติเราสามารถดูแลใจตนเองไม่ให้ทุกข์จากความคิดฟุ้งซ่านได้เช่นกัน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า
ในธรรมชาติของร่างกาย สมอง และ จิตใจ
เราห้ามความคิดฟุ้งซ่านไม่ได้
แต่เราลดความทุกข์จากความคิดฟุ้งซ่านได้

1) ด้วยการหมั่นรู้เท่าทันความคิด
และ หมั่นฝึกไม่ไปหลงเชื่อทุกความคิดที่เกิดขึ้น

2) การกลับมาใช้ร่างกายเป็นตัวช่วยเพิ่มความมั่นคงทางจิตใจ
เช่น การหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
( อย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน)
และ การหมั่นกลับมามีสมาธิกับการเคลื่อนไหวร่างกาย
และ ลมหายใจ
จะช่วยให้ใจมีกำลังมากขึ้น สดชื่นขึ้น มั่นคงขึ้น

ทั้ง 2 ข้อนี้ จะ "พาให้ใจ" กลับมาอยู่กับ "ปัจจุบันขณะ" มากขึ้น

ทุกจังหวะที่ใจได้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
ณ จังหวะนั้น
ใจจะลดการแบกอดีต และอนาคต
ใจจึงเบาขึ้น ทุกข์จึงลดลง ณ ขณะหนึ่งนั้น

---------------------------------------------------------

หมายเหตุ :
🙂 เมื่อทำงานหนักมากต่อเนื่อง
ใจ และ กายจะเกิดการล้าได้

🙂 ควรมีเวลาที่จะพักผ่อนที่เหมาะสม
เพื่อดูแลร่างกายและจิตใจ ให้ผ่อนคลาย และ มีความแข็งแรง
เช่น การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ดีต่ออารมณ์
การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้น

🙂 การอย่านั่งติตด่อท่าเดิมนานเกิน 60 นาที สำหรับผู้ที่ทำงานแบบนั่งโต๊ะต่อเนื่อง
โดยทุกการนั่ง 30-60 นาที
ควรสลับให้มีการขยับตัวยืดเหยียดร่างกาย
และ พักสายตาจากการจ้องจอต่อเนื่อง สัก 1-2 นาที
เพื่อป้องกันการเกิด office syndrome

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

🙂 สามารถติดตามรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=ZhY_Vu6KAMw&t=95s

-----------------------------------------------------

เครดิตภาพน้องหมีสุดยุ่งจาก
: Bac Bac's Diary LINE sticker

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข 


วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เราห้ามความรู้สึกไม่ได้ แต่เราห้ามการกระทำได้ กับ แนวทางรับมือกับอารมณ์ที่ดีต่อใจ โดย พญ. ทานตะวัน

 "เราห้ามความรู้สึกไม่ได้ แต่เราห้ามการกระทำได้"

🙂 เราห้ามความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้
เนื่องเพราะ
อารมณ์ความรู้สึกเป็นอาการของใจที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ
เมื่อใจถูกกระทบ
1) ใจถูกกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก
เช่น คำพูดคน ท่าทีคน สิ่งที่ไปเห็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต

2) ใจถูกกระทบจากเหตุการณ์ภายในตัวเราเอง
เช่น ถูกกระทบความคิดในสมองเราเอง
คิดเรื่องสนุก อารมณ์สนุกตาม
คิดเรื่องกังวล อารมณ์กังวลตาม
คิดเรื่องน่าอาย ความรู้สึกอับอายตาม
คิดเรื่องทำผิด ความรู้สึกผิดตาม
คิดเรื่องเจ็บปวด ความรู้สึกเจ็บปวดตาม
คิดถึงเรื่องเศร้า ความรู้สึกเศร้าตาม
คิดเรื่องน่าโมโห ความรู้สึกโมโหตาม เป็นต้น

ความรู้สึกจึงห้ามไม่ได้
และไม่ควรพยายามห้าม
เพราะจะเกิดภาวะเก็บกดอารมณ์
แต่ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้
การเท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ห้ามการกระทำที่ไม่เหมาะสมจากอารมณ์นั้นได้

🙂 เราห้ามการกระทำได้
ที่จะไม่ทำตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น
แต่การจะห้ามการกระทำได้ทัน จำเป็นต้องฝึกฝนเรื่องสติ
เพื่อการเท่าทันอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
และ มีวิธีที่จะยับยั้งการกระทำไม่ให้ทำตามอารมณ์นั้นไป

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะ อารมณ์ความรู้สึกมีอานุภาพต่อใจมากๆ

การจะสามารถห้ามการกระทำไม่ให้ไหลตามอารมณ์ได้นั้น
ต้องอาศัยการฝึกฝนเรื่องสติอย่างมาก

--------------------------------------------------------
#ตัวอย่าง
ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง "เรื่องการจัดการความโกรธ"

#รู้จักธรรมชาติของอารมณ์โกรธ

ก่อนอื่นชวนมารู้จักธรรมชาติของความโกรธ
ความโกรธเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง
ที่มีอานุภาพแรงมาก
เป็นอารมณ์ที่มีพลังทำล้ายล้างสูงมาก
และ ครอบงำจิตใจได้มากๆ

การห้ามไม่ให้โกรธ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
เพราะ อารมณ์โกรธ เป็นอารมณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ เป็นธรรมดา เมื่อเจอสิ่งที่ขัดใจ เคืองใจ หรือ สิ่งทำให้รู้สึกแย่มากๆ

แต่เราสามารถห้ามการกระทำจากอารมณ์โกรธได้
เพราะ ถ้าเราทำออกไปตามอารมณ์โกรธ
หลายครั้งจะเกิดความเสียหายตามมา
ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ
เราคงเห็นจากในข่าวหลายๆครั้ง
เรื่องราวที่ไม่ควรเกิดขึ้น
แต่ก็กลับเกิดขึ้น
สาเหตุมาจากความโกรธ

หรือ แม้กระทั่งในชีวิตเราเอง
บางเรื่องถ้าตอนเราอารมณ์ดี ไม่โกรธ ไม่โมโห
เราจะไม่ทำแบบนั้นออกไปเด็ดขาด
แต่เมื่อเราโกรธ เรากลับทำสิ่งที่ไม่ควรทำออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ

รวมถึงเราอาจเห็นสิ่งเหล่านี้จากคนรอบตัวด้วย

เนื่องเพราะ
อารมณ์โกรธพาไป
อารมณ์โกรธพาให้ทำ
รวมถึงเวลาที่เกิดอารมณ์โกรธ
สมองส่วนที่เกี่ยวข้องก้บการความฉลาด
และ การตัดสินใจที่ดี ทำงานแย่ลงทันที

พฤติกรรมทำลายล้าง พฤติกรรมทำสิ่งที่ไม่ควรทำ จึงเกิดขึ้น
เช่น การพูดด่าทอ การพูดจาข่มเหง เหยียดหยามกัน
การทำร้ายร่างกาย การทำร้ายข้าวของ เป็นต้น

#การจัดการความโกรธ

🙂 1. เก็บมือ-เก็บเท้า-เก็บปาก

ดังตัวอย่างในรูป
Tumurin กำลังเก็บมือ-เก็บเท้า-เก็บปาก อย่างน่ารัก 😊

คือ เมื่อโกรธ
อย่าเพิ่งกระทำอะไรออกไป ทั้งคำพูด และ การกระทำ
เพราะ เมื่อเรากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ
การกระทำที่ออกมา ทั้งคำพูด และ ทุกพฤติกรรมที่ออกมา
จึงเป็นความรุนแรง และ เป็นด้านลบ
เพราะ เวลาโกรธ อารมณ์จะพาให้อยากให้เกิดการบาดเจ็บกับคู่กรณี หรือ แม้กระทั่งกับตัวเอง
วาจาจึงเชือดเฉือน หรือ การกระทำอาจรุนแรงได้มาก
ชนิดที่
ถ้าสติเราดีๆ อารมณ์เราเข้าที่ปกติ
เราจะไม่อยากพูด หรือ อยากทำแบบนั้นเลย
นั่นเพราะ ตอนนั้นเราทำออกไป
ในตอนที่สมองส่วนการตัดสินใจ การรับรู้ข้อมูล และ การประเมินสถานการณ์ทำงานแย่ลง
ความสามารถในการคิด และ การกระทำ จึงออกมาไม่ดีนัก และ โอกาสผิดพลาดสูงมาก

🙂 2. สงบร่างกายตนเอง
ยังสงบใจไม่ได้ไม่เป็นไร
เราห้ามใจไม่ได้ แต่เราห้ามพฤติกรรมได้
เราสงบอารมณ์ยังไม่ได้ แต่เราสามารถช่วยสงบร่างกายก่อนได้
ด้วยเทคนิคง่ายๆ เช่น
นับ 1-10 หรือ อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก หรือ ขัดห้องน้ำ (มีหลายคนเล่าว่า ลดความโกรธได้ชะงัด)
หรือ ออกกำลังกายที่เหงื่อออกเยอะๆ
หรือ
อื่นๆ เป็นต้น
เพื่อสงบร่างกายก่อน
ให้ร่างกายผ่อนคลาย
เมื่อร่างกายผ่อนคลาย จะช่วยให้ความรู้สึกโกรธเบาลง

🙂 3. ขอเวลานอก
ถ้าสถานการณ์เร้ามาก ยิ่งอยู่ของยิ่งขึ้น
ให้นำตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นก่อน
แล้วไปอยู่กับตัวเองเงียบๆ
ไปสงบร่างกายตัวเองก่อน (ดังในข้อที่ 2)
เครื่องยนต์ร่างกายเราเย็นลง
จะส่งให้ใจเราเย็นลง

🙂 4. เมื่ออารมณ์เย็นลง
ค่อยพูด ค่อยทำ
เพราะ การพูด การทำตอนอารมณ์เย็นลง
สมองส่วนต่างๆ เช่น สมองส่วนการตัดสินใจ การประมวลผล การเก็บข้อมูล ความเฉลียวฉลาด จะกลับมาเป็นปกติ
การพูด และ การกระทำ จะมีประสิทธิภาพ และ มีคุณภาพ
ที่ดีกว่าพูด และ ทำตอนโกรธ

🙂 5. ฝึกรู้เท่าทัน ความคิดย้ำแค้น
คือ การคิดวนไปวนมา เกี่ยวกับเรื่องที่เราแค้นเคือง
เราจะวนกับรู้สึกแค้นเคืองไม่จบสิ้น
จะส่งผลให้ร่างกายเราหลั่งสารที่ไม่เป็นผลดีต่อสมอง และ ร่างกายเรา อย่างที่กล่าวข้างต้น
เราห้ามความคิดไม่ได้ แต่รู้ทันมันได้
ทุกการรู้ทัน เราจะตกเป็นทาสความคิดลดลง
เราไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกความคิดที่เกิดขึ้นในสมอง
ยิ่งถ้าเป็นความคิดที่ส่งผลเสียกับตัวเรา
-----------------------------------------------------

ความโกรธ เป็นอารมณ์ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
และ ลดได้เร็วเช่นกัน
ส่วนใหญ่ภายใน 40 วินาที
ถ้าเราลดสิ่งเร้าลง
ทั้งความคิด ความรู้สึก และ สภาพแวดล้อม
และ 40 วินาทีนั้น คือ 40 วินาทีทอง
ที่จะพลิกเกมได้ค่ะ
ถ้าเราบริหารจัดการอารมณ์ได้ดี จะจบแบบสวยได้
แต่ถ้าบริหารจัดการอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
การกระทำไหลไปตามอารมณ์โกรธ
หลายครั้งอาจจบเป็นโศกนาฎกรรมได้
เรียกว่าจบแบบหนังคนละม้วนเลยค่ะ

-----------------------------------------------------------
#บทส่งท้าย
เราห้ามความรู้สึกไม่ได้
แต่เราเรียนรู้ที่จะเท่าทันมันได้
และ เรียนรู้การอยู่กับมันได้อย่างเหมาะสม
จะช่วยลดการบาดเจ็บและความเสียหายจากอารมณ์ได้มากค่ะ

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#เข้าใจธรรมชาติร่างกาย
#ยิ่งโตยิ่งสุข

--------------------------------------------
:) สามารถติดตามเสียงบรรยายบทความนี้ได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/13hvjzVV0hI

----------------------------------------------
🙂 เครดิตภาพ Tumurin มีสติ 🙂
เมื่อรู้สึกโกรธ เก็บมือ-เก็บเท้า-เก็บปาก ได้ทัน
และ กำลังขอเวลานอก หันหลัง
เพื่อมาดูแลอารมณ์ให้เย็นลง 😊

: จาก Tumurin LINE stickers 🙂


วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ความรักและเมตตาตัวเอง รักแท้ที่มีอยู่จริง (Self compassion) โดย หมอทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

 



รู้จักและเข้าใจความรักและเมตตาตัวเองคืออะไร?

เมื่อเรารักและเมตตาตนเองได้ เราจะเดือดร้อนจากความรักและความชังจากคนอื่นน้อยลง ติดตามรายละเอียดได้ดังลิงค์นี้ค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=EO8Riawh-Lc #เข้าใจธรรมชาติชีวิต #เข้าใจธรรมชาติจิตใจ #ยิ่งโตยิ่งสุข

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2567

5 วิธีรับมือกับ "ความไม่สมหวัง" แบบดีต่อชีวิต และ จิตใจ โดย พญ.ทานตะวัน

 

 

5 วิธีปังๆ รับมือกับ "ความไม่สมหวัง"
แบบดีต่อคุณภาพชีวิต และ จิตใจ :)

เพราะโลกไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราสมหวัง

ความไม่สมหวัง จึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา

การรับมือกับความไม่สมหวังอย่างถูกวิธี
จึงเป็น "ทักษะชีวิตที่สำคัญ"
ท่านใดสนใจ 5 วิธีรับมือ "ความไม่สมหวัง" อย่างถูกวิธี
สามารถติดตามได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/iWEEhVZp8tg

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข ----------------------------------
เครดิต:
ขอบคุณองค์ความรู้จากแนวทางการทำจิตบำบัดแนวซาเทียร์
FB ของสมาคมพัฒนาศักยภาพมนุษย์และจิตบำบัดแนวซาเทียร์ Satir Thailand ดังนี้ลิงค์นี้ค่ะ


วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Enneagram : แนวทางการเติบโตของชาวลักษณ์ 7 (ชาวสุขนิยม) โดย พญ.ทานตะวัน

 

 


"แนวทางการเติบโตของชาวลักษณ์ 7 (ชาวสุขนิยม)"

ความอิสระ และ ความสุขที่แท้จริง
ไม่ใช่มาจาก สิ่งข้างนอก
แต่มาจากใจ และ การกระทำที่มีคุณภาพดี
ด้วยการลดการนึกถึงแต่ตนเอง
ด้วยการลดการยึดติดความคิดความเชื่อของตนเอง
ซึ่งมาจากการฝึกเผชิญ และ การฝึกอยู่กับความไม่สุข
ซึ่งมาจากการฝึกฝนร่วมทุกข์ในความสัมพันธ์
ซึ่งมาจากการตระหนักถึงคุณค่าของผู้คนที่มีต่อตนมากขึ้น

😊 "ทำให้สุดและหยุดแก้ตัว" 😊

แนวทางการเติบโตของชาวลักษณ์ 7 (ชาวสุขนิยม)
ท่านใดสนใจรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม
สามารถติดตามได้ทางลิงค์นี้ค่ะ 🙂
https://youtu.be/ILo_IugcrhY

#enneagram
#การเติบโต
#ลักษณ์7

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข