วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

วิเคราะห์ปมในใจตอนจบ ของ ซีรี่ส์ เรื่อง Squid Game


 

!!! Spoiler Alert !!!
แจ้งเตือนบทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของซีรี่ส์ค่ะ

...................................................................................

จากซีรี่ส์เกาหลี เรื่อง Squid Game เกม เล่น-ลุ้น-ตาย
ซีรี่ส์ที่สร้างความรู้สึกลุ้น ระทึก โหด สะเทือนใจ สยองขวัญ กับ เกมโหด 6 ด่านที่ผู้เข้าร่วมเล่นเกม เข้าร่วมเพื่อชิงเงินรางวัลมหาศาล
และ ถ้าเล่นแพ้ = ตายจริง
ด้วยกติกานี้ ทำให้ความสยองขวัญ สั่นสะเทือนใจ เศร้าหดหู่ และ ความรู้สึกผิด จึงเกิดขึ้นได้มากมายกับผู้เล่นตลอดการเล่นเกมนี้
เมื่อเกมนี้ได้ดำเนินมาถึงเกมสุดท้าย คือ เกมที่ 6
ชื่อ เกมว่า squid game ในที่สุดก็มีผู้ชนะ
ผู้ชนะที่สามารถรอดตาย ผ่านได้ทั้ง 6 ด่าน
และ ได้รับเงินรางวัลจำนวนสูงสุด
คือ 4.56 หมื่นล้านวอน หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท
ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของผู้ที่เข้ามาร่วมเล่นเกมทุกคน
และ ในที่สุด เขา “ซองกีอุน” ได้มาจุดนั้น
เขาควรจะต้องดีใจ(มากๆ) และ มีความสุขอย่างที่สุด
แต่เมื่อเขาได้มาถึงจุดนี้แล้วจริง ๆ
สิ่งที่เกิดขี้น คือ
เขากลับไม่ได้รู้สึกดีใดๆ
เขาไม่ได้มีความสุขใดๆ
เขาไม่ได้แตะต้องเงินทองเหล่านี้
เขาใช้ชีวิตซังกะตาย
เขามีชีวิตอยู่ไปวันๆ
เขามีสีหน้าที่หาความสุขไม่เจอ
เขาไม่สนใจดูแลตนเอง
เขานั่งซังกะตาย
เขาไร้พลังชีวิต
เขาใช้ชีวิตเดียวดายดื่มเหล้าเคล้าความเศร้า

#เกิดอะไรขึ้นกับเขา ?
ภาวะที่เกิดขึ้นกับเขา
คือ อาการของความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต (Survivor guilt)

🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂

#ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิตกับทฤษฎีทางจิตวิทยา

เราลองมาทำความรู้จักภาวะนี้
ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต(survivor guilt )
ในแง่มุมทางจิตวิทยา กันนะคะ
ภาวะนี้ได้ถูกบันทึกครั้งแรกในประวัติศาสตร์
จากจดหมายของผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ทหารนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต พบได้ไม่น้อย สามารถพบได้ถึง ร้อยละ 30 ในจำนวนผู้รอดชีวิตทั้งหมด
อะไรที่ทำให้ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งเกิดความรู้สึกผิดที่ตนเป็นผู้รอดชีวิต
ทั้งที่ลึกๆแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนกลัวตาย
ทุกคนต้องการมีชีวิตอยู่ ยิ่งในวินาทีที่คับขันต่อความเป็นความตาย ทุกคนต้องการที่จะมีชีวิตรอด
แต่อะไรที่ทำให้เขารู้สึกผิดเมื่อเขาได้กลายเป็นผู้มีชีวิตรอด และ รู้สึกอยากตายมากกว่าอยากจะมีชีวิตต่อไป
บางคนจะเฝ้าพร่ำบ่น หรือเฝ้าครุ่นคิดซ้ำๆว่า
ทำไมฉันถึงรอด? ในขณะที่คนอื่นตาย
หรือ ทำไมฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ? ในขณะที่คนอื่นตาย หรือ พิกลพิการ
หรือ ทำไมฉันถึงไม่ทำอย่างนั้น ? เพื่อจะได้ช่วยคนอื่นได้
หรือ ทำไมฉันไม่ตายแทนคนนั้นไปซะ?
หรือ ทำไมเขาต้องมาตายแทนฉันด้วย?
ความรู้สึกผิดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน เหล่านี้คือ เหตุการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกนี้ได้ค่ะ
1. เขารู้สึกว่าตนเป็นสาเหตุหลักทำให้คนตาย
2. เขารู้สึกว่าตนได้ทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไป จนทำให้คนตาย หรือ บาดเจ็บ
3. เขาคิดว่าเขาน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ เพื่อช่วยให้คนรอดได้ แต่ตอนนั้นเขากลับไม่ได้ทำ
จึงเกิดความรู้สึกผิดติดค้างในใจ
4. มีคนตายหรือบาดเจ็บเพื่อช่วยเหลือเขา หรือ ตายแทนเขา
5. เขาอยู่ในสถานการณ์ตัดสินใจช่วยบางคน และ ปล่อยให้บางคนตาย
ซึ่งทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมา อาจเป็นเรื่องจริงที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ
แต่หลายครั้งกลับพบว่าเป็นความรู้สึกที่เขาคิดไปเองเกินเหตุก็มี
6. บริบทของสังคม ที่กระตุ้นภาวะนี้
6.1 วัฒนธรรมในสังคม ที่ให้ความสำคัญ และเรียกร้องต่อการรับผิดชอบต่อส่วนรวม
6.2 มีแรงกดดัน ตำหนิติเตียน จากคนรอบข้าง จากคนในสังคม
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ในทางจิตวิทยา ไม่ใช่ทุกคนจะมีความรู้สึกผิดได้ บุคคลที่จะมีความรู้สึกผิดได้ต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
1. คนที่มีคุณธรรม (moral)
คนที่มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะมีความรู้สึกผิด
ในทางตรงข้าม คนที่ไม่มีคุณธรรมไม่ว่าทำอะไรลงไป เดือดร้อนคนอื่นแค่ไหน ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึก รู้สึกผิดได้เลย เนื่องการพัฒนาทางจิตใจมาตั้งแต่วัยเด็กทำให้เกิดความบกพร่องที่จุดนี้ จึงไม่สามารถรู้สึกผิดบาปหรือละอายใจกับการกระทำผิดของตนได้
เพราะ ความรู้สึกผิดจะแปรผันตามกับเรื่องการมีคุณธรรมประจำใจ ถ้ายิ่งมีคุณธรรมประจำใจมาก ความรู้สึกผิดก็ยิ่งมีปริมาณมาก
2. เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ (responsibilty)
ต่อพฤติกรรมของตน
รวมถึงมีจิตสำนึกในผลจากการกระทำของตนต่อส่วนรวม (accountability)
3. เป็นคนที่รู้สึกว่าต้องช่วยคนอื่น (altruism)
ตามปกติทุกคน พัฒนาการทางจิตใจวัยเด็กแรกเกิดของชีวิต จะมีลักษณะนึกถึงตนเอง ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
แต่เมื่อเด็กๆได้เติบโตมีการเลี้ยงดูที่ดี จะมีพัฒนาการที่ดีและเหมาะสมมากขึ้น ความรู้สึกนึกถึงตนเองจะลดลงและพัฒนาเป็นความรู้สึกนึกถึงคนอื่นได้มากขึ้น จึงทำให้เกิดอยากช่วยคนอื่นและอยากเสียสละเพื่อผู้อื่น
ซึ่งอย่างเหตุการณ์เรือล่ม จะเห็นว่า มีฮีโร่มากมายที่ยอมเสียสละตนเอง
(บางคนถึงกับเสียชีวิต) เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดชีวิต
4. เป็นคนที่สามารถเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ (empathy)
คนที่สามารถรับรู้และเข้าใจความทุกข์ ความเจ็บปวด ของผู้อื่นได้ เมื่อเห็นคนที่มีความลำบาก จะกระตุ้นความอยากช่วยเหลือของเขา
ซึ่งความรู้สึกผิดเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

แต่คนที่จะมีความรู้สึกผิดได้มากจนเกิดโทษคือ
1. เกิดจากบุคลิกที่ชอบตำหนิตัวเอง (self- criticism)
ในคนที่มีบุคลิกชอบตำหนิตัวเอง มักมีแนวโน้ม เพ่งโทษตัวเอง เห็นข้อลบของตนเองอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมักหันเข้ามาคาดโทษ และ ตำหนิตนเองไว้ก่อน
2. คนที่ให้อภัยตนเองได้ยาก มีระดับการมีคุณธรรมที่รุนแรงมากเกินไป จนไม่เหมาะสม จึงไม่สามารถให้อภัยตนเองได้เลย
3.เป็นคนขาดความยืดหยุ่น เช่น ถ้าดีก็ต้องดีทั้งหมด ไม่ควรมีอะไรผิดเลย ถ้ามีผิดไปนิดนึงจะแปลว่าเลวร้ายไปทั้งหมด คือ มีลักษณะมองอะไร เป็นขาวหรือดำเท่านั้น ไม่สามารถมองอะไรเป็นสีเทาๆได้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผลจากความรู้สึกผิดที่มีปริมาณมากเกินไป
ส่งผลเสียได้อย่างมาก
1. อาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า หรือ โรควิตกกังวล ได้
2. ไม่อนุญาตให้ตนเองมีความสุข ต้องการลงโทษตัวเอง
ในบางคนที่แม้ไม่ได้กลายเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกังวล
แต่ไม่สามารถมีความสุขในชีวิตตนเองได้อีกเลย บางคนจะมีความสุขก็รู้สึกละอายใจ
จึงต้องทำให้ตนเองรู้สึกทุกข์ใจตลอด หรือทำให้ชีวิตตนเองตกต่ำอยู่ตลอด ไม่อยากเห็นตนเองดีขึ้น หรือ ก้าวหน้า เพราะ ยังรู้สึกผิดอยู่ ใช้ชีวิตไปอย่างไม่ใยดีตนเอง เพื่อชดเชยความผิด
3. พยายามฆ่าตัวตายเพื่อชดเชยความผิดนั้น

🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂

#เมื่อผู้ชนะกลายเป็นคนไร้สุข

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ซองกีอุน

1. เขาเกิดภาวะซึมเศร้า ใช้ชีวิตไปวันๆ หมดอาลัยตายอยาก สีหน้าหาความสุขไม่เจอ ไร้พลังชีวิต หมดเรี่ยวแรง
2. เขาไม่อนุญาตให้ตนเองมีความสุข ต้องการลงโทษตัวเอง ในที่นี้จะเห็นว่า ซองกีอุน ไม่นำเงินออกมาใช้แม้สักวอนเดียว จนเจ้าหน้าที่ธนาคาทักท้วง เขานอกจากจะไม่นำเงินมาใช้ ยังไปขอยืมเงินเจ้าหน้าที่ธนาคารอีก
และ ใช้ชีวิตให้ตนเองแย่ๆ ไปวันๆ ไม่ดูแลตนเอง
3. และบางทีในใจลึกๆ เขาอาจอยากให้ชีวิตตนเองจบลง ด้วยการไม่ดูแลตนเอง พร้อมกับการดื่มสุราทุกวัน นอกจากการหนีทุกข์ชั่วคราวจากฤทธิ์เหล้า อีกนัยยะคือการบ่อนทำลายตนเอง

🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂
#แนวทางการดูแลรักษาในทางการแพทย์
ภาวะนี้ในทางการแพทย์ มีแนวทางการดูแลรักษาดังนี้
1. เข้าใจและยอมรับความรู้สึกผิดเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ (normal reaction) เมื่อเกิดการสูญเสีย เพราะบางคนกลายเป็นว่ารู้สึกผิด ที่ตนเองที่รู้สึกผิด
การยอมรับความรู้สึกได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
2. ให้เวลาใจที่จะรู้สึกศร้าเสียใจ ไม่ควรปฏิเสธความรู้สึกเศร้าเสียใจ
3. พูดคุยกับผู้อื่น เพราะการเก็บตัว ไม่พูดคุยใครจะยิ่งทำให้อาการแย่มากขึ้น
4. แบ่งปันความรู้สึกกันกับคนใกล้ตัว เช่น เพื่อน คนในครอบครัว หรือ คนที่รู้สึกสนิทใจเป็นต้น
5. ร่วมกิจกรรม เช่นการไปร่วมพิธีศพ
ได้บอกกล่าวอะไรที่อยากบอกกับผู้เสียชีวิต หรือ ญาติ
เช่น การขอโทษ... หรือ การขอบคุณ.....
6. เปลี่ยนความรู้สึกเป็นด้านบวก
- การทำงานอาสาสมัครต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้ลดความรู้สึกผิดได้ และ กลับมาเห็นคุณค่าในตนเองได้
- มองว่าความผิดนั้นเป็นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จะช่วยให้การใช้ชีวิตต่อไปดียิ่งขึ้นทั้งต่อตนเอง ต่อคนครอบครัว และต่อสังคม
7. ใคร่ครวญอย่างมีสติ ว่าเรามโนใส่ร้ายตัวเองมากไปหรือเปล่า
บางที สิ่งที่เรามองว่าตนผิด จนเกิดความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจอย่างมหาศาล อาจมีความจริงแค่เล็กน้อย ที่เหลือ เรามโนใส่ร้ายตัวเองมากไปก็เป็นได้ค่ะ
8. ข้อนี้สำคัญที่สุด คือ การให้อภัยตนเอง และ เริ่มต้นชีวิตใหม่
มีผู้กล่าวไว้ว่า “การที่ให้อภัยตนเองไม่ได้ คือ การหลงตนเองชนิดหนึ่ง”
ซึ่งเป็นความจริง เพราะเราหลงตัว ว่าเราจะทำผิดอะไรไม่ได้เลย เราจึงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้
เพราะในความจริง คนเราทุกคน ล้วนทำผิดได้ ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์
เราเองเป็นคนๆหนี่ง เมื่อคนอื่นทำผิดได้ เราก็ผิดได้เช่นกัน
และ ฝึกที่จะให้อภัยตัวเอง และ เริ่มต้นใหม่ ด้วยชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเราได้มีบทเรียนดีๆสอนใจเราแล้ว

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
#ความจริงสำคัญของความรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
เพราะทำให้เกิดการแก้ไข นำมาสู่สิ่งที่ดีกว่า

ตรงข้ามกับการที่ไม่มีความรู้สึกผิด
จะมีแต่การแก้ตัว กล่าวโทษคนอื่น ทะเลาะกัน เต็มไปด้วยความวุ่นวายและทำร้ายกันค่ะ

แต่ความรู้สึกผิดที่มากเกินไป
ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรได้เลย
นอกจากการทำลายสิ่งต่างๆให้เลวร้ายมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น การมี “สติและความเมตตาต่อตนเอง” จึงเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ

🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂 🙂

#เขาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร
ในตอนท้าย ซองกีอุน ได้กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง
1. การได้คุยกับคุณลุงโออิลนัม
(แม้จะเป็นการสนทนา ที่เต็มไปด้วยการโกรธแค้น)
แต่มีนัยยะแฝงการเยียวยาจิตใจ
เพราะ ลุงโออิลนัม เป็นคนเดียวที่เขาสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างหมดใจ หมดเปลือกแบบไม่ต้องกั๊กไว้
เพราะ ในสถานการณ์นี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถเล่าหรือระบายให้ใครฟังได้เลยสักคนในโลกนี้
ความรู้สึกนี้จึงอัดอั้นตันใจอยู่กับเขาอย่างมากมาย
เมื่อวันที่เขาได้พูดคุยกับลุงโออิลนัม ความรู้สึกต่างๆ ความคิดต่างๆ ความต้องการต่างที่อัดอั้น ก็มีระบายออกมาอย่างเต็มที่ พรั่งพรู
แบบไม่ต้องยั้ง
ทำให้เขาได้กลับมารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความรู้สึกผิด ความโกรธ ความแค้น ความเสียใจ ความเจ็บปวด
การได้พูดออกมาให้ใครสักคนที่รับฟัง การได้กลับมารับรู้ความรู้สึกต่างๆที่อัดแน่นทับถามภายใน การได้ระบายมันออกมา
และ เป็นต้นทางของการเยียวยาใจที่สำคัญ

2. ได้ลงมือทำกิจกรรมที่เป็นการกระทำด้านบวก
เขาได้นำเงินออกมาทำประโยชน์กับครอบครัวที่ตนได้รับปากว่าจะดูแล เช่น ครอบครัวของโจซังอู และ คังแซบยอก การได้ลงมือช่วยเหลือดูแลคนอื่น เป็นการเยียวยาอาการนี้ได้ดีมากดังที่ได้กล่าวข้างต้น

3. การบอกได้กล่าวกับญาติของผู้เสียชีวิต
การได้พูดคุยกับน้องชายของคังแซบยอก ว่าพี่สาวที่จากไปของเขามีความปรารถนาอย่างไร
การได้ฝากข้อความคุณแม่ของโจซังอูว่า “เขานำเงินที่ยืมจากโจซังอูมาคืน”
เป็นนัยยะของการกล่าวขอโทษ และ การกล่าวขอบคุณโจซังอู
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีความหมายต่อใจที่เขาได้มีโอกาสได้บอกออกมา (แม้จะพูดได้แบบอ้อมๆก็ตาม)

4. การให้อภัยตนเอง และ เริ่มต้นชีวิตใหม่
เขาได้ตั้งใจกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
ตั้งแต่การเปลี่ยนทรงผมที่ดูสดใสมากขึ้น
การกลับมาดูแลตนเอง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน
และ การตั้งใจจะกลับไปหาลูกสาวที่ต่างประเทศ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า เขาเริ่มกลับมามีพลังชีวิตอีกครั้งหลังจากจมกับความรู้สึกผิด จมกับบาดแผลในใจมา 1 ปีเต็ม

#การตัดสินใจสุดท้ายของเขาเกิดจากอะไร
5. และ ตอนท้ายที่สุดของเรื่องซองกีอุน จะหวนกลับเข้าสู่ squid game อีกครั้ง ซึ่งคาดว่า อาจจะเป็นต้นกำเนิดในเรื่องราวในภาคต่อไป
และ สิ่งที่น่าสนใจในทางจิตวิทยา
อะไรทำให้เขาตัดสินใจแบบนั้น

ในบางครั้ง ผู้รอดชีวิตยังคงมีความรู้สึกผิดติดค้างในใจ และ ยอมรับมันไม่ได้ทั้งหมด
และ วิธีหนึ่งที่เขาเข้าใจว่าจะช่วยล้างความรู้สึกผิดนี้ได้
คือ การได้ล้างแค้นแทนคนที่ตายไปเหล่านั้น
------------------------------------------------------
#บทส่งท้าย
"ภายใต้การล้างแค้น
ภายใต้การโกรธคนอื่น
ภายใต้การลงโทษผู้อื่น
นอกจากการผดุงความเป็นธรรมแล้ว
อาจมีความรู้สึกผิดซ่อนอยู่"

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#วิเคราะห์ #ปมในใจ #Squid #Game




วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"วิเคราะห์จิตใจเบธ นางเอกซีรี่ส์ เรื่อง The Queen's Gambit"

 





-------------------------------------------------

Spoiler alert !!! (เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญ)

"ความเข้มแข็งที่แท้จริง ไม่ใช่การหนีความรู้สึกเจ็บปวด"

ข้อคิดสำคัญจากซีรี่ส์ เรื่อง The Queen's Gambit

"การเผชิญ" กับ ความเจ็บจี๊ด

คือ การปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บจี๊ดนั้นที่แท้จริง

เบธ นางเอกของเรื่อง

เป็นนักหมากรุกที่เก่งกาจ พอๆ กับ การเป็นสาวนักดื่ม และ ติดยากล่อมประสาทอย่างเมามันส์

#การใช้ยากล่อมประสาทและการดื่มแอลกอฮอล์ของเธอมีที่มา

มองเผินๆ การใช้ยา และ สุรา

เป็นเพื่อการเสพสุขผ่านการมึนเมา (narcotization)

แต่จริงๆ มีความหมายมากกว่านั้น

ส่วนหนึ่ง เหมือนช่วยเสริมจินตนาการในการเล่นหมากรุก

แต่จริงๆ มีอะไรมากกว่านั้น

ภายใต้การใช้ยากล่อมประสาท และ เสพสุรา

มีความหมายทางจิตใจซ่อนอยู่

การใช้ยากล่อมประสาท และ เสพสุรา

ช่วยให้เธอหลบหนีความเจ็บปวดทางจิตใจ จากแผลใจในวัยเด็ก

ที่มารดาเกิดอุบัติเหตุ และ เธอกลับรอดอย่างปาฏิหารย์

ที่อุบัติเหตุครั้งนั้น จริงๆ มารดาตั้งใจฆ่าตัวตาย และ ตั้งใจให้เธอไปพร้อมกัน

ที่เธอรับรู้ชีวิตคู่ที่แสนเจ็บปวดของมารดา และ บิดา

ที่เธอรับรู้ความเศร้าโศกจากชะตากรรมที่แม่ของเธอต้องเผชิญ

ที่แม่บ่นก่อนฆ่าตัวตาย ด้วยความกังวลในการเลี้ยงดูเธอต่อไปเพียงลำพัง

ที่เธอขาดแม่ที่เป็นทุกอย่างของเธอในวัยเด็ก จนกลายเป็นเด็กกำพร้าที่อ้างว้าง

ความทรงจำเหล่านี้ เป็นภาพหลอนในใจเธอ

ที่ส่งผลกระทบกับใจเธออย่างยิ่งยวด และ ไม่หยุดยั้ง

เธอพยายามไม่ไปใส่ใจ (denial & repression)

แต่มันก็มักโผล่เข้ามาในความคิดคำนึง

รวมถึงการโผล่เข้ามาในความฝันอยู่เนืองๆ

และยิ่งในยามที่เธอพบความผิดหวัง พ่ายแพ้จากการแข่งขัน

ภาพแผลใจในอดีตเหล่านั้นก็จะทวีพลังขึ้นมาถาโถมในใจเธออย่างรุนแรง

การใช้ยา และ การเมาสุรา

ช่วยให้เธอหลบหนีความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวดได้

(denial & avoidance)

#ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยให้เธอพบความสำเร็จ

ในการแข่งขันครั้งสุดท้าย นัดสำคัญที่สุดในชีวิตเธอ

ที่เธอสามารถคว้าชัย กับ แชมป์โลก

ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยให้เธอพบความสำเร็จในนัดสำคัญนี้

ไม่ใช่การก้าวข้ามคู่แข่ง

แต่คือการก้าวผ่านความเจ็บปวดในตัวเองได้

ปัจจัยที่เธอแพ้ ก่อนหน้านี้

ไม่ใช่ความเก่งกาจของคู่แข่ง

แต่จริงๆ คือ การแพ้ตัวเอง

ในการแข่งครั้งนี้

เธอหันกลับมา

เผชิญกับแผลใจวัยเด็ก

เผชิญกับความเจ็บปวดที่แสนจะบอบช้ำในใจ

1) ครั้งนี้

เธอไม่หนีเรื่องราวในใจ (denial &  avoidance) แบบครั้งก่อนๆ

เช่น การไปใช้ยา หรือ สุรา (avoidance) เสพให้เคลิ้มๆลอยๆ เมาๆ นอนๆ ลืมๆ ไป

หรือ การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (denial)

2) ครั้งนี้

เธอไม่ใช้การตัด(การรับรู้)อารมณ์ และไปใช้การฝักใฝ่เกมหมากรุก เพื่อหนีอารมณ์ (isolation of affect)

(ดูเผินๆ วิธีนี้ มีจุดดี

แต่ถ้าใช้วิธีนี้มากไป จะสร้างปัญหาในระยะยาว

เพราะ หลายเรื่องเราไม่สามารถตัดอารมณ์ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องที่มีความหมายกับหัวใจมากๆ

เมื่ออารมณ์จู่โจมถาโถมเข้ามามากๆและรุนแรง

ใจที่มีใช้วิธีนี้บ่อยๆ

จะไปไม่เป็น เสียทรง ดูแลตัวเองไม่ได้

เพราะไม่มีความสามารถในการอยู่กับอารมณ์ได้ดีนัก เนื่องจากตัดการรับรู้อารมณ์ไปบ่อยๆ

จนใจไม่มีทักษะการฝึุกอยู่กับอารมณ์ที่อ่อนไหว)

แต่ครั้งนี้

เธอกลับไปเผชิญกับมัน

ทั้งความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกอ้างว้าง และ บาดแผลในใจ

ด้วยการกลับไปยังสถานที่ต่างๆ ในวัยเด็ก

ทั้งบ้านที่อาศัยอยู่กับแม่

ทั้งบ้านพ่อที่เกิดปัญหาก่อนแม่จะฆ่าตัวตาย

ทั้งถนนที่เกิดเหตุสะเทือนใจ

ทั้งโรงเรียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

ทุกสถานที่ที่มีกลิ่นอาย และ เรื่องราว

ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ มากมาย

ทั้งความสุข ความทุกข์ การสูญเสีย ความอ้างว้างเดียวดาย ความเจ็บปวด ความเศร้า ความรู้สึกผิด

และ บาดแผลทางใจที่เหวอะหวะ

และ ยิ่งกว่านั้น

หลังจากกลับจากสถานที่เหล่านั้น

อารมณ์ความรู้สึกก็ยังท่วมท้นล้นปรี่

แต่ครั้งนี้

เธอไม่หนีอารมณ์เหมือนครั้งก่อน

เธอไม่หนีไปเสพยากล่อมประสาท ไม่ใช้สุราเพื่อเสพความเมา เหมือนเคย

#ครั้งนี้เธอรับมือกับอารมณ์ทุกข์ในใจต่างไปจากเดิม

ครั้งนี้

1) เธอได้"เปิดใจรับรู้" ทุกอารมณ์

ทุกความคิดคำนึง ทุกความรู้สึก

ทั้งความเจ็บปวด ความรัก ความคิดถึง ที่เกิดขึ้น

ครั้งนี้เธอปล่อยให้ตนเองร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก

อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

(เดิมเกือบตลอดเรื่อง เราแทบจะไม่เคยเห็นตัวละครนี้ร้องไห้เลย

ทุกเรื่องที่เธอเจอ ล้วนหนักหนามาก

แต่สิ่งที่เราเห็น คือ ความหน้านิ่ง เย็นชา ไร้อารมณ์)

2) เธอได้ "อยู่กับอารมณ์" ต่างๆ เหล่านั้น

อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างซื่อตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง

และ อย่างมั่นคงที่จะรับรู้มันอย่างที่เป็นโดยไม่หนีไปไหน

3) เธอได้พบเพื่อน

ในโมเมนต์ที่แสนจะอ่อนไหว เจ็บปวดนั้น เธอมี โจลีน

เพื่อนวัยเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คอยอยู่เคียงข้าง

และ เป็นตัวช่วยสำคัญ

ให้เธอกลับมาเผชิญกับความทรงจำ (ในวัยเด็ก) นั้น

ได้อย่างมั่นคงมากขึ้น

และ ในช่วงเวลาเดียวกันนััน

ครั้งนี้

เธอก็ได้พบ "เพื่อนที่แสนดีที่สุด" เกิดขึ้นในชีวิตเธอ

เพื่อนที่รับรู้สุขทุกข์ในชีวิตเธอ

เพื่อนที่เคียงข้างเธอ

เพื่อนที่เห็นความฟูมฟายของเธอ

ด้วยใจที่ยอมรับ และ อ่อนโยน

เพื่อนที่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ

ทั้งยามสุข ยามทุกข์  ยามสมหวัง ยามผิดหวัง ยามพบความสำเร็จ หรือ ยามพ่ายแพ้

ไม่เคยทิ้งเธอไปไหน

เพื่อนที่แสนดีที่สุด คนนั้น คือ ตัวเธอเอง

เพื่อนที่ไม่ปฏิเสธการรับรู้อารมณ์ของเธอแบบก่อน

เพื่อนที่เปิดรับ ยอมรับ ทุกความฟูมฟายที่เกิดขึ้นในใจ

4) พบมิตรภาพ ความรัก ที่เธอเคยปิดใจ

ครั้งนี้ เธอกลับได้พบมิตรภาพที่ดีที่มีให้เธอตลอดมา

เมื่อใจเธอเปิด

ทั้งจากโจลีนเพื่อนสนิทในวัยเด็กของเธอ คุณไชเบล ภารโรงที่เป็นครูหมากรุกคนแรก  คุณแม่บูญธรรม และ เพื่อนๆที่เล่นหมากรุกมาด้วยกัน

เดิมใจเธอไม่เคยเปิดรับมิตรภาพเหล่านี้ได้อย่างเต็มๆ

เพราะ ใจถูกปิดกั้นไว้ โดยมีความรู้สึกเย็นชาเคลือบไว้

เหมือนรับรู้ได้บ้าง แต่ไม่เต็มที่

เพราะ ใจกลัวจะเจ็บปวดอีก เมื่อต้องสูญเสีย

 ใจไม่อยากอ่อนไหว ด้วยความรักใครอีก

แต่เมื่อเปิดใจ และ ใจเปิด

มิตรภาพดีๆ ความรักที่งดงามเหล่านี้ ได้มาเป็นพลังให้เธอผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้อย่างสวยงาม

5) สมองที่แจ่มใสกว่าเดิม

ทุกทีเธอมักหลงเข้าใจว่าการใช้ยากล่อมประสาท

ช่วยให้เธอจินตนาการเกมหมากรุกได้มาก

ทำให้เล่นได้ดี

แต่ครั้งนี้เธอกลับพบว่า สมองที่แจ่มใส ปราศจากยากล่อมประสาทและแอลกอฮอล์ต่างหากที่เฉียบขาดกว่ามาก

ความแจ่มใสปราดเปรื่องของสมองที่ปราศจากความมึนเมา ทำให้เธอแก้เกมที่กำลังคับขันได้อย่างทรงพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

#ช่วงเวลาแห่งความสว่าง

การเผชิญความรู้สึกอ่อนไหว

เป็นช่วงเวลาที่เจ็บจี๊ดที่สุด

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ก้าวผ่านแผลใจไปได้อย่างดีที่สุด

และ นั่นคือการเป็นอิสระที่แท้จริง

จากพันธนาการที่ชื่อว่าแผลใจในอดีต

การพยายามหนี กลับ หนีไม่พ้น

การเผชิญกับมันอย่างซื่อๆตรงๆ

กลับเป็นการพ้นจากอิทธิพลของมันอย่างแท้จริง

ความเข้มแข็ง ความมั่นคงจากภายในที่แท้จริง

จึงเกิดขึ้น

"เจ็บจี๊ดหายได้ เมื่อใจยอมรับว่า(โคตร)เจ็บเลยอ่ะ"

----------------------------------------

#บทส่งท้าย

ความรู้สึกทุกข์ ก็ทุกข์มากอยู่แล้ว

การไม่ยอมรับความรู้สึกทุกข์ ยิ่งทำให้ทุกข์มากขึ้นไปอีก

และ การพยายามดิ้นรนหนีความรู้สึกทุกข์

กลับยิ่งส่งผลเสียตามมาอีกมากมาย

ทั้งกับตัวเราเอง และ ผู้อื่น

ใจที่ยอมรับความรู้สึกทุกข์ กลับพบแสงสว่าง 🙂

-----------------------------------

บทความโดย พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

------------------------------------

เครดิตภาพ : ภาพจากซีรี่ส์ เรื่อง The Queen's gambit

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

“แผลใจในวัยเด็ก”


Spoiler Alert !!! ค่ะ
(ใครที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ เนื้อหาบทความอาจเปิดเผยบางส่วนของภาพยนตร์ค่ะ)


ได้มีโอกาสไปดูภาพยนตร์อนิเมชั่น เรื่อง Zootopia (นครสัตว์มหาสนุก)ซึ่งเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กดูดีเพราะ มีทั้งความสนุก ภาพสวย และ ให้ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต


ในเรื่องนี้ มีแง่มุมข้อคิดดีๆ ทางจิตวิทยาหลายเรื่อง ซึ่งมีหลายบทความได้พูดถึงกันไปบ้างแล้ว เช่น
การสู้เพื่อฝัน การเห็นคุณค่าในกันและกัน หรือการสร้างโลกที่สวยงามด้วยตัวเราเอง เป็นต้น



ส่วนในบทความนี้ จะขอพูดถึงประเด็นทางด้านจิตใจ ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ  "แผลใจในวัยเด็ก"




โดยตัวละคร นิค ไวด์ (Nick Wilde) ตัวละคนเด่นอีกตัวหนึ่ง นอกจากนางเอก จูดี้ ฮอปปส์ (Judy Hopps) กระต่ายนักสู้เพื่อฝันแล้ว  นิค ไวด์เป็นสุนัขจิ้งจอกรูปร่างผอม ขนสีแดง ในตาสีเขียวมีอาชีพ เป็นมิจฉาชีพ  นิสัยที่คนทั่วไปเห็นคือเจ้าเล่ห์พูดจาเชื่อถือไม่ได้  ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในสังคม Zootopia มักมอง เหล่าสุนัขจิ้งจอกไว้แบบนั้้น

ในวัยเด็ก นิค ไวด์ เป็นสุนัขจิ้งจอก ที่มีจิตใจ ใสซื่อบริสุทธ์และ มีความฝัน...ที่จะเป็นเด็กดี ทำระโยชน์เพื่อสัตว์อื่น เขาจึงไปสมัครเป็นลูกเสือ (boy scout) เพื่อที่จะได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือสัตว์อื่นและได้ทำพิธีกล่าวคำปฏิญาณสาบานตน ที่จะทำสิ่งนี้ด้วยใจที่ใสซื่่อ บริสุทธิ์ ภูมิใจ และมุ่งมั่นอย่างมาก



แต่แล้วสิ่งที่เด็กน้อยนิค เจอ กับ ทำให้เขาช็อคและกลายเป็นบาดแผลในใจที่แสนเจ็บปวดไปตลอดชีวิต

เนื่องจากเพื่อนๆเหล่าลูกเสือรังเกียจเขา ทำร้ายเขา เหยียดหยามเขาอย่างทีสุด ไม่มีใครยอมรับเขาเลย
และร่วมกันทำร้ายเขา และไล่เขาออกจากกลุ่มลูกเสือ
ด้วยความเชื่อที่ว่าสุนัขจิ้งจอกไม่มีทางซื่อสัตย์และทำสิ่งที่มีเกียรติเช่นเป็นลูกเสือได้

จึงร่วมกันทำร้ายร่างกาย และ จิตใจของเด็กน้อย นิค ไวด์ อย่างเจ็บปวดแสนสาหัส  โดยเฉพาะด้านจิตใจ

ฉากนี้ที่เกิดขึ้นในชีวิตของ เด็กน้อย นิค ไวด์
กลายเป็นบาดแผลในใจ อย่างที่ไม่มีวันที่จะเยียวยาได้อีกเลย

เพราะมันทำลายทั้งความภูมิใจ ทำลายทั้งความฝัน ที่จะเป็นสุนัขจิ้งจอกที่ซื่อสัตย์ จิตใจดี และช่วยเหลือสัตว์อื่น รวมถึงมันยังทำลายความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกมีคุณค่า ในตัวเขาจนหมดสิ้น

หลังจากนั้น เขาก็เติบโตขึ้นมาเป็น นิค ไวด์ สุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตามที่สังคมพยายามยัดเยียดให้เขาเป็น เพราะเขาสิ้นหวังเกินกว่าที่จะต้านคำพิพากษาของสังคมที่พยายามยัดเยียด เหยียดหยามให้เขาเป็นได้แค่ จอมเจ้าเล่ห์

จากฉากนี้ในภาพยนตร์ จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของนิคน้อย นำมาซึ่ง บาดแผลในใจ อันใหญ่มากและเปลี่ยนเขาไป(เกือบ)ชั่วชีวิต

หลายคนในชีวิตก็เช่นกัน หลายคนมีบาดแผลในวัยเด็ก เป็นแผลใจที่แม้ว่ากาลเวลาผ่านไป แผลใจนั้นก็ยังมีอิทธิพลกำหนดเส้นทางชีวิตให้เดินโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เช่นบางคนเคยถูกเพื่อนล้อเลียน เรื่อง ความอ้วนโตขึ้นกลายเป็นคนกลัวอ้วนมากจนต้องคอยคุมอาหารกลัวอ้วนจนกลายเป็นโรคคลั่งผอม ที่อดอาหารจนร่างกายทรุดโทรมและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

หรือถูกเพื่อนล้อเลียนเรืองหน้าตา ทำให้โตขึ้นมากลายเป็นคนขาดความมั่นใจเรืองหน้าตา คอยวิตกจริตกับหน้าตาของตนเองมากจนขาดความสุข

หรือบางคนมีบาดแผนในใจเป็นภาพครอบครัวในวัยเด็ก ที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ด้วยเรื่องการเลี้ยงลูก สุดท้ายหย่าร้างกัน แล้วฝังใจว่าตนคือสาเหตุ  จากนั้นก็เฝ้าโทษตนเองมาตลอดว่าเป็นเพราะตน พ่อแม่จึงหย่าร้างกัน เลยไม่เคยยอมให้ตนเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะต้องการลงโทษตนเอง จากความรู้สึกผิดนั้น

หรือเด็กสาวบางคนมีความทรงจำที่ไม่ดี เกี่ยวกับ ผู้ชาย เช่นภาพพ่อทำร้่ายแม่ หรือตนเองเคยถูกผู้ชายทำร้ายมา ทำให้การใช้ชีวิตในตอนโตด้วยความเกลียดและกลัวผู้ชาย จนทำให้ส่งผลต่อการเข้าสังคม การเรียน การทำงาน

หรือบางคนมีความทรงจำที่ไม่ดี เกี่ยวกับเรื่องเพื่อนในวัยเด็ก ประสบเหตุการณ์ว่า เพื่อนไม่ยอมรับ ไม่เล่นด้วย เพื่อนๆไม่อยากให้เข้ากลุ่ม พอโตขึ้น มักจะไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักกับใคร มักตราหน้าตนเองว่าเป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบและ เศร้า เหงา และ อ่อนไหวง่าย กับท่าทีสีหน้าของเพื่อน เป็นต้น

สาเหตุที่แผลใจในวัยเด็กส่งผลกระทบกับชีวิตได้อย่างไร?
สิ่งเหล่านี้เกิดจาก เรานำความทรงจำในอดีต (ซึ่งจริงๆ จบไปแล้ว) มาหลอกหลอนตนเองในปัจจุบัน (ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหม่) โดยเป็นกระบวนการดังนี้

ความทรงจำในอดีต: บาดแผลในวัยเด็ก + ความคิดปรุงแต่งต่อเติมเหตุการณ์ปัจจุบัน
--> นำมาสู่ความเชื่อเดิมๆว่าเราแย่ (ตามบาดแผลเดิมในวัยเด็ก)
--> นำมาสู่ความทุกข์กับเรื่องเดิมๆ และ มีวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสมแบบเดิมๆ


ซึ่งจากภาพยนตร์ จะเห็นว่า ในที่สุด เมื่อ นิค โตขึ้น สังคมรอบตัวก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่ใช่กลุ่มเพื่อนเดิมๆ ที่ทำร้ายเขาแล้ว

คนในสังคมปัจจุบัน (ปัจจุบัน) ก็พร้อมจะเคารพนับถือเขา (ซึ่งต่างจากสังคมที่เขาเจอในวัยเด็ก)
ถ้าเขาพิสูจน์ตนเองได้ว่าเขาคือสุนัขจิ้งจอกที่ซื่อสัตย์ มีจิตใจทีดี และพร้อมจะทำสิ่งดีๆต่อสังคม
แต่ถ้าเขาไม่สามารถก้าวข้ามความทรงจำเดิม + ความคิดปรุงแต่งต่อเติม  เขาก็จะวนอยู่วงจรเดิม ทุกข์เหมือนเดิม  ทั้งที่เหตุการณ์นั้นที่เคยทำร้ายเขาจบไปนานแล้ว และคนที่เคยทำร้ายเขา ตอนนี้ก็ไปแล้ว
แต่เป็นใจเขาเอง ความคิดของเขาเองที่เฝ้าพิพากษาตนเอง ซ้ำๆ


เป็นใจเขาเองที่ทำให้เขา เหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ที่เป็นแผลเก่า แต่เมื่อเขามีสติและก้าวออกจาก โลกความทรงจำ โดยไม่ไปปรุงแต่งต่อ แล้วเปลี่ยนมามองโลกปัจจุบันอย่างที่มันเป็นจริง ด้วยใจที่เป็นกลาง  เขาจะค้นพบโลกใหม่ ที่เป็นจริง  ที่เป็นโลกที่รอให้เขาค้นพบสิ่งใหม่ๆอยู่

เราควรดูแลจิตใจอย่างไร?
เราคงไม่สามารถกลับแก้ไขอดีตได้  แผลใจที่เกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือเราจะดูแลใจอย่างไร ที่ไม่ให้แผลใจในวัยเด็กยังส่งอิทธิพลกำหนดชีวิตเราไปจนผิดทาง

ดังนั้น การรู้ทัน ความทรงจำเก่า และ ความคิดปรุงแต่งต่อเติมในปัจจุบัน จึงเป็นก้าวสำคัญให้เราก้าวพ้น ออกจากโลกเก่าและออกสู่โลกใหม่ ที่มีอะไร ดีๆ รอเราอยู่อีกมากมายค่ะ

เครดิตภาพนะคะ : 
http://www.forbes.com/sites/markhughes/2015/08/15/disneys-zootopia-earns-big-laughs-at-d23/#4ad54dd14f56


วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตที่ดีคืออะไร


ชีวิตที่ดี สำหรับแต่ละคน

คงให้คำนิยามไม่เหมือนกัน
แล้วแต่แต่ละคนให้คุณค่ากับอะไรนะคะ

บางคนอาจให้คุณค่ากับการมีการงานดี มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นคนเด่นดังในสังคม
บางคนอาจให้คุณค่ากับการมีอำนาจ มีคนยำเกรง มีคนคอยเอาอกเอาใจ พินอบพิเทา
บางคนให้คุณค่ากับเรื่องมีฐานะ ร่ำรวย
บางคนให้คุณค่ากับเรื่องการมีเพื่อนมากมาย มีสังคมที่รักเรามากมาย
บางคนให้คุณค่ากับการมีครอบครัวที่อบอุ่น

บางคนให้คุณค่าให้กับการมีแฟน มีคู่ชีวิต
บางคนให้คุณค่ากับการมีชีวิตที่เป็นอิสระ ทำอะไรก็ได้อย่างที่อยากทำ

บางคนให้คุณค่ากับการมีชีวิตที่สันโดษ
ฯลฯ

จริงๆสิ่งที่ทุกคน ใฝ่ฝันย่อมเป็นสิ่งดีๆ ทั้งนั้น

ถ้าเราได้ (อย่างที่หวัง ) เราคงมีความสุข
แต่จะมีสักกี่คนที่ได้สมหวังดังใจหมาย




หรือ บางครั้งพอได้มาแล้ว แรกๆก็ฟินดี
แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าที่ได้มา เฉยๆ ไม่ตอบโจทย์แล้ว
อยากได้มากกว่านี้ ^^"

จึงพบว่า หลายคนมีชีวิตที่ไม่เคยรู้สึกสมหวังสักที
และ มองว่าชีวิตที่ตนมียังไม่ดี สักที
ยิ่งถ้าชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ยิ่งรู้สึกขาดพร่องไปกันใหญ่เลย >

อย่างนั้นชีวิตที่ดี จริงๆคือ อะไร
ในทางจิตวิทยา

ชีวิตที่ดี คือ ความรู้สึกที่เต็มอิ่มภายใน ไม่รู้สึกขาดพร่อง
หรือ ต้องคอยโหยหาอะไรมาเติมอยู่เรือยๆ

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว การมีอะไรภายนอก อาจไม่ใช่คำตอบ
แม้ว่าสิ่งภายนอก อาจเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่มภายใน
แต่ไม่ทั้งหมด เพราะ

หลายครั้งเราคงเห็นแล้วว่า
ชีวิตเรามีทุกอย่างที่น่าจะมีความสุข ที่น่าจะพึงพอใจในชีวิตได้สักที
แต่เรากลับยังไม่มีความสุข

หรือ เราอาจเคยเห็นคนอีกหลายคนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมในสายตาเรา
เขากลับไม่มีความสุข และ ไม่หยุดดิ้นรน ที่จะหาอะไรมาเติมเต็มใจเขาอยู่ตลอดเวลา
ทั้งเหนื่อย ทั้งทุกข์ แต่เขาก็หยุดไม่ได้
หรือ บางที เขาเหล่านั้น ยังพร่ำบ่นว่า ชีวิตมันแย่.... !!?

ดังนั้นชีวิตที่ดี คือ อะไร ?

"ชีวิตที่ดี.....ไม่ใช่ชีวิตที่มีทุกอย่างโอเค
แต่เป็นชีวิตที่โอเค.......ในทุกอย่างที่มี"
^____^

เมื่อเราสามารถ โอเค ในทุกอย่างที่มี ความเต็มอิ่ม จากภายใน เกิดขึ้นได้เอง
โดยไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบภายนอกมากมาย

แม้องค์ประกอบภายนอกมีผลอยู่บ้าง แต่ถ้าเราไปยึดติดกับสิ่งดีๆเหล่านี้มาก
สิ่งดีๆ เหล่านี้ จะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์
เราลองมาดูกันนะคะ ว่าความรู้สึกว่า "โอเค" จะเกิดขึ้นในใจเราได้อย่างไร


ความรู้สึกโอเคเกิดขึ้นได้จาก 3 สิ่งนี้ค่ะ
1. ยอมรับ.....สิ่งที่มี
2. ชื่นชม........ ในสิ่งที่มี
3. เห็นคุณค่า.... ในสิ่งที่มี

ถ้าเราสามารถ ยอมรับ ชื่นชม และ เห็นคุณค่า ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่เป็น

ทั้งชีวิตตัวเองในอดีต....
ทั้งชีวิตตัวเองในปัจจุบัน....
แน่นอนว่า
เราจะเกิดความรู้สึกดีๆ กับ ชีวิตของตนเองในอนาคตแน่นอนค่ะ

เมื่อความรู้สึกพอใจในชีวิตเกิดขึ้น....
เมื่อนั้นชีวิตที่ดี ก็เกิดขึ้นในจังหวะนั้น จังหวะที่เรากลับมาพอใจในชีวิตของตัวเราค่ะ \\(^+^)//

แม้หลายคนอาจมีอดีตที่ไม่อยากจดจำ หรือ เจ็บปวด
แต่การที่เราจมและเห็นมันแต่แง่ลบ
ทำให้ใจเราเศร้าหมองไปเปล่าๆค่ะ

แต่ถ้าเราสามารถที่จะยอมรับมันอย่างที่เป็น
ชื่นชมกับสิ่งดีๆที่มีอยู่ (ซึ่งเราอาจเคยมองข้ามไป)
และ เห็นคุณค่าในตัวเอง ในการเรียนรู้ชีวิต
เพราะ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายเท่าไหร่
เราผ่านมันมาได้

เราลองมองมาที่คุณค่าในตัวเรา ในพลังชีวิต
และ ความตั้งใจดีที่อยู่ภายในตัวเรา รวมถึงคนรอบข้าง
และ นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ที่เราจะทำให้กับตัวเราเอง ในภาวะนั้นๆ
และ เราก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง (ที่มีค่า) จากมัน

ในทางตรงข้าม ถ้าเราไม่เคยพอใจอะไรในชีวิต
ต่อให้มีอะไร ต่อมิอะไรมากมาย
แม้คนภายนอกจะเฝ้าพร่ำบอกว่าดีแล้ว โอเคมากแล้ว
เราก็ไม่เคยรู้สึกว่าดีสักที... ชีวิตเราก็เลยไม่เคยดีสักทีค่ะ -.-"

ดังนั้น
"ชีวิตที่ดี ไม่ใช่ชีวิตที่มีแต่สิ่งดีๆนะคะ
แต่เป็นชีวิตที่ สามารถยอมรับสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นได้" ต่างหากค่ะ

เครดิตภาพ :